ธรรมชาติเชิงวิพากษ์: โควิด – 19 เขตพรมแดนสุขภาพและความปราศจากมลทินของชาติไทย

เขียนโดย อาจารย์ ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์*

(หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ก่อนที่จะมีการระบาดระลอกใหม่)

[English version available here]

ภาพแสดงการตรวจวัดอุณหภูมิที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เครดิต) THANT ZIN AUNG ชาวเมียนมา ที่ทำงานในประเทศไทย

ภาพแสดงการตรวจวัดอุณหภูมิที่ชายแดนไทย-เมียนมา (เครดิต) THANT ZIN AUNG ชาวเมียนมา ที่ทำงานในประเทศไทย

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกถัดจากจีนที่มีบันทึกการติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคนี้ในระยะเวลาไม่นาน เห็นได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดที่พบอยู่ที่ประมาณ ​100-150 รายต่อวันในเดือนมีนาคม 2563 แต่ก็ลดลงเหลือศูนย์​ภายในเดือนพฤษภาคม และยังคงอยู่ที่ตัวเลขเดิมตั้งแต่นั้นมา โดยมีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,500 รายและเสียชีวิต 59 รายนับตั้งแต่เริ่มการระบาด หลังจากนั้นสหภาพยุโรป (The European Union: EU) จึงประกาศให้ประเทศไทยไม่เป็นเขตอันตรายของการแพร่ระบาดอีกต่อไป ทำให้น่าประหลาดใจว่ารัฐไทยสามารถควบคุมหรือจัดการกับการแพร่ระบาดนี้ได้อย่างไร

บทความนี้ศึกษานโยบายเฉพาะกิจและกฎระเบียบที่รัฐบาลไทยใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ จากการศึกษาวิจัยผ่านเอกสารและเก็บข้อมูลภาคสนามค้นพบว่า เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส (ทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ) รัฐบาลไทยได้สร้าง 'พรมแดนสุขภาพ' เพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของผู้คน รวมทั้งจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลคือ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการผ่าน 'พรมแดนสุขภาพ' นี้ ได้แก่ ใบรับรอง Fit-to-Fly แบบฟอร์ม TM.08 หนังสือรับรองการตรวจสุขภาพที่ระบุผลการทดสอบโควิด-19 เป็นลบ และการกักกันตัวที่ดำเนินการโดยรัฐ​ 14 วัน สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ออกกฎระเบียบสำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอันประกอบด้วย การปิดเมืองและห้ามการเคลื่อนย้ายระหว่างพื้นที่โดยต้องมีหนังสือรับรองการตรวจสุขภาพและการรับได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในการเดินทางข้ามจังหวัด 

น่าแปลกที่ในช่วงต้นของวิกฤติดังกล่าว รัฐบาลทั่วโลกเกือบทั้งหมดได้เรียกพลเมืองของตนกลับคืนสู่มาตุภูมิ แต่รัฐบาลไทยกลับปิดกั้นพลเมืองของตนไม่ให้กลับบ้านซึ่งทำให้นักเรียนไทยในต่างแดนจำนวนมากต้องติดอยู่ในประเทศระหว่างทางเป็นเวลาหลายวัน ต่อมารัฐบาลไทยจึงได้ประกาศ ‘เขตพรมแดนสุขภาพ’ และกำหนดให้คนไทยทุกคนต้องตรวจสุขภาพให้เรียบร้อยก่อนเดินทางกลับ (สำหรับคนที่ไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยก็ไม่สามารถเดินทางกลับโดยเครื่องบินได้)

แทนที่จะมองและปฏิบัติต่อคนไทยในฐานะพลเมืองที่รัฐต้องปกป้อง แต่รัฐบาลไทยกลับแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ติดเชื้อและผู้ที่มีร่างกายบริสุทธิ์ ผู้เขียนได้ออกแบบการวิเคราะห์ตามแนวคิดของดักลาสเรื่องความบริสุทธิ์และอันตราย (Douglas, 1966) การถือกำเนิดขึ้นของเขตชายแดนสุขภาพและกฎระเบียบไม่ใช่เพียงควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นความกังวลสูงสุดของรัฐบาลไทย คือ การทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์รายและทำให้มันคงอยู่เช่นนั้นดังเช่นการรักษารัฐให้ปราศจากมลทิน ยิ่งไปกว่านั้นแรงงานไทยในต่างแดนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและแรงงานข้ามชาติถูกมองว่าเป็น ‘ร่างกายที่ปนเปื้อน’ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและกลายมาเป็นเป้าหมายของการควบคุมและชำระให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง พวกเขาต้องอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐตามที่รัฐจัดหาให้โดยห้ามออกจากโรงแรมที่พักเป็นเวลา 14 วัน ก่อนจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ สิ่งนี้เป็นเหมือนพิธีการเปลี่ยนผ่านที่ร่างกายต้องผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้รับการยอมรับกลับเข้ามาในสังคมไทยคล้ายกับแนวคิดเอานักโทษเข้าคุกโดยหวังจะเปลี่ยนคนเลวให้กลายเป็นคนดีได้ แต่ในช่วงที่ถูกกักกันคนเหล่านี้กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ในฐานะประชาชนแต่คล้ายคลึงกับนักโทษเสียมากกว่า

เขตพรมแดนสุขภาพ: จุดตรวจวัดอุณหภูมิในเขตชายแดนแม่สอด (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

เขตพรมแดนสุขภาพ: จุดตรวจวัดอุณหภูมิในเขตชายแดนแม่สอด (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

เขตพรมแดนสุขภาพ

การตอบสนองของรัฐบาลไทยที่มีต่อโควิด – 19 มีความคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รัฐ ชายแดนและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในช่วงวิกฤติที่คาบเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้คน ซึ่งนักวิชาการวิเคราะห์ว่าเป็น “รัฐยกเว้น” (Agamben, 2005) ในช่วงวิกฤติฉุกเฉินของโควิด – 19 ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่า ‘สุขภาพ’ หรือ ‘ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ’ ซึ่งนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิและความเป็นส่วนตัวของพลเมืองได้ (Agamben, 2020)  ในสภาวะยกเว้นเช่นนี้ อธิปไตย (รัฐ) มีอำนาจตัดสินใจว่าชีวิตของบุคคลใดควรค่าแก่การช่วยเอาไว้และชีวิตใดที่ไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม นโยบายการรับมือโควิด – 19 ที่มีผลต่อแรงงานไทยในต่างแดนและผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ การทำให้ขอบเขตของ "พลเมือง" และ "อื่นๆ" พร่าเลือนในนามของสุขภาพและความมั่นคงทางชีวภาพ ทุกคนได้รับการปฏิบัติด้วยในฐานะผู้ที่อาจจะเป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือไม่ใช่ ก็ล้วนแต่เป็นเพียงร่างกายที่อยู่ภายใต้สภาวะยกเว้นที่จำเป็นต้องผ่านด่านพรมแดนสุขภาพที่ตั้งขึ้นมาใหม่ (นอกเหนือจากพรมแดนทางภูมิศาสตร์และทางการเมืองที่มีอยู่แล้ว) เพื่อคัดกรองสุขภาพร่างกายก่อนเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

ก่อนแพร่การระบาดของโควิด – 19 การเดินทางระหว่างประเทศจำเป็นต้องมีหนังสือเดินทางและวีซ่าที่ถูกต้องเพื่อข้ามพรมแดน บางประเทศขอให้คุณกรอกแบบฟอร์มเพื่อแจ้งว่าไม่ได้นำสินค้าหรืออาหารต้องห้ามเข้ามาในดินแดน แต่ในช่วงที่มีการระบาด รัฐไทยกำหนดให้คุณต้องชี้แจงเรื่องสุขภาพผ่านระบบ Fit to Fly แสดงผลการตรวจโรคโควิด – 19 ภายใน 72 ชั่วโมงล่วงหน้าและแบบฟอร์ม TM.08 หลังจากนั้นจะมีการบังคับกักกันตัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนการข้ามพรมแดนสองครั้งโดยที่การข้ามพรมแดนสุขภาพมีความเข้มงวดยิ่งกว่าการข้ามพรมแดนโดยปกติ

ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พรมแดน (แผ่นดิน) มักมีรูพรุนและซึมผ่านได้ (van Schendel and de Maaker, 2014) โควิด – 19 ทำให้รัฐบาลไทยต้องปิดจุดตรวจคนเข้าเมืองหรือจุดอพยพทั้งหมดและผนึกพรมแดนของประเทศซึ่งมีความยาวประมาณ​ 5,656 กิโลเมตร ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การปิดผนึกพรมแดนเป็นข้อกำหนดที่จำเป็นในการประกาศภาวะฉุกเฉินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพโดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์

เอกสารประกอบเพื่อใช้ในการผ่านเข้าเขตพรมแดนสุขภาพของคนไทยประกอบด้วย

  • ใบรับรองการเดินทาง Fit to Fly หรือ Fit to Travel ซึ่งออกใบรับรองโดยแพทย์

  • ผลการตรวจสุขภาพที่ระบุผลทดสอบโควิด – 19 เป็นลบ

  • แบบฟอร์ม TM.08 แบบคำขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

  • แบบฟอร์มการแจ้งรับบริการเพื่อการกักกันโดยรัฐ จำนวน 14 วัน

ในการเดินทางกลับประเทศไทย ผู้เดินทางชาวไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศจะต้องติดต่อกับสถานทูตไทยในประเทศที่ตนพำนักอยู่ พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและกรอกรายละเอียดลงในเอกสารทั้งหมด ทุกคนจะต้องดำเนินการต่างๆ ผ่านสถานทูตไทยในพื้นที่เท่านั้น ได้แก่ การจัดการเที่ยวบิน (ส่งตัวกลับ) ซึ่งไม่สามารถจองเที่ยวบินเองได้ เมื่อกลับมาถึงคุณจะถูกส่งตัวไปยังโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ซึ่งคุณจะต้องอยู่ที่นั่นต่อไปอีก 14 วัน อย่างไรก็ตามแรงงานไทยที่อาศัยอยู่ในต่างแดนไม่ได้มีลักษณะเดียวกันทุกคน พวกเขาอาจจะเป็นนักเรียน ข้าราชการพลเรือน นักท่องเที่ยว หุ้นส่วนชาวต่างชาติ แรงงานข้ามชาติ (ไม่มีเอกสาร) ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับเอกสารเหล่านี้ เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก การขาดเอกสารทางกฎหมายหรือมีปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการดำเนินการ

แรงงานไทยที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียชี้แจงว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะได้รับการรับรอง Fit-to-Travel (สำหรับการเดินทางทางบก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่สามารถพูดภาษามาเลย์หรือภาษาอังกฤษได้ บางคนระบุว่าเพื่อที่จะได้รับเอกสารเหล่านี้พวกเขาจำเป็นต้องเดินทางจากที่ทำงานซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยไปยังกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย ซึ่งทำให้เสียทั้งเงินทองและเวลามาก หลายคนตัดสินใจข้ามพรมแดนกลับประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้นชายแดนได้ถูกปิดผนึกและรัฐบาลไทยอนุญาตให้ส่งกลับได้เพียง 100 คนต่อวัน บางรายต้องรอเวลาเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในเขตพรมแดนสุขภาพ ความเป็นพลเมืองแทบจะไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องของความปลอดภัยทางชีวภาพและจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์เท่านั้น ฟาสซินเน้นย้ำว่านี่คือ “หลักการของพลังชีวภาพในการทำให้ชีวิตกลายเป็นเรื่องของการเลือกว่าใครที่ควรจะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตแบบไหนและยาวนานแค่ไหน” นอกจากนี้ ชีวิตภายใต้อำนาจทางชีวภาพยังไม่เท่าเทียมกัน (Fassin,2009: 53) กรณีของแรงงานข้ามชาติไทยจากมาเลเซียแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายใต้เขตพรมแดนสุขภาพนี้การกลับมาของพวกเขาถูกยืดระยะเวลาออกไปโดยรัฐไทย ซึ่งชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่สำคัญนักในขณะที่ร่างกายอยู่ภายใต้การบงการผ่านการเรียกร้องให้เสียสละเพื่อควบคุมไวรัสภายในประเทศ

ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของร่างกาย (ชาติ) ไทย

นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน กล่าวสรุปสถานการณ์โควิด – 19 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (CCSA) ทำเนียบรัฐบาลแห่งประเทศไทย วันที่ 2 เมษายน 2563 (เครดิต) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน กล่าวสรุปสถานการณ์โควิด – 19 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (CCSA) ทำเนียบรัฐบาลแห่งประเทศไทย วันที่ 2 เมษายน 2563 (เครดิต) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

“ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม จำนวนผู้ป่วยโควิด – 19 รายใหม่ที่รายงานทุกวันเป็นตัวเลขเดียวยกเว้น 18 รายที่พบในกลุ่มผู้อพยพที่ถูกกักกันในจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม”

กล่าวโดย ดร.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน [1]

ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยปลอดโควิด – 19 เป็นครั้งแรก[2] และร่างกายของชาติไทยได้รับการชำระล้างหรือทำให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ข้อยกเว้นในคำพูดบ่งบอกว่า แรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับมาจากมาเลเซียและอยู่ในเขตกักกันของรัฐ​ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของ 'ร่างกายของชาติไทย' และไม่นับว่าเป็นคนไทยเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้อพยพซึ่งมีร่างกายเป็นที่ต้องสงสัยและมีโอกาสที่จะติดเชื้อ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะทำให้ร่างกายที่บริสุทธิ์ของชาติไทยต้องแปดเปื้อน

ดร.ทวีศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมว่า

"เราสามารถผ่อนคลายได้แต่ประมาทไม่ได้ ... โปรดปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติใหม่ๆ ในที่สุดเราอาจเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่สามารถยุติความยากลำบากที่เกิดจากโรคนี้ได้"

คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐไทยต้องการคือ การได้รับความเชื่อถือและยอมรับจากประชาคมโลกว่าสามารถจัดการกับโรคนี้ได้และเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดโควิด แต่เพื่อให้ประเทศปราศจากจากโควิด – 19 (ซึ่งที่จริงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น) จำเป็นต้องเสียสละหลายสิ่ง นอกเหนือจากการเสียสละของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนักแล้ว คือการกำหนดมาตรการล็อกดาวน์บังคับให้ผู้คนต้องอยู่บ้านซึ่งนำไปสู่การสูญเสียงานในภาคส่วนที่คนต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ผู้คนไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองได้และสิ้นหวังเพราะเงินออมเหลือน้อยลงทุกทีอีกทั้งมีหนี้สินต้องจ่าย กรมสุขภาพจิตรายงานว่า มีคนไทยฆ่าตัวตายในช่วงต้นปี จำนวน 2551 คน อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ผลการศึกษาวิจัยจากทีมนักวิชาการไทยเปิดเผยว่ามี 38 กรณีที่มีผู้ให้สัมภาษณ์ว่าพยายามฆ่าตัวตายจากสาเหตุการปิดประเทศ การปิดกิจการ การตกงาน และการเลิกจ้าง และใน 38 รายนี้ มี 28 ราย ที่เสียชีวิต[3]

ความคิดเรื่อง "ร่างกายที่บริสุทธิ์" ของชาติยังส่งผลให้เกิดความเกลียดกลัวชาวต่างชาติและการเหยียดเชื้อชาติในกรณีของแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ แรงงานไทยเหล่านี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ผีน้อย’ เนื่องจากพวกเขาพำนักและทำงานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย และเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เดินทางกลับมายังประเทศไทย ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันอย่างดุเดือดในสังคมไทย เมื่อสื่อสังคมออนไลน์เปิดเผยให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติหญิงรายหนึ่งไม่ได้กักกันตนเองเมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดใน จ.เชียงราย เธอได้แวะไปร้านอาหารและซื้อของ จากกรณีของเธอสังคมไทยเริ่มชี้เป้าและตำหนิว่าแรงงานข้ามชาติที่กลับมานั้นขาดความรับผิดชอบต่อสังคมไทย (และพวกเขายังขาดความรับผิดชอบที่ไปอยู่ในประเทศเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมายจนส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยคนอื่นๆ อีกด้วย) และพวกเขาเป็นผู้แพร่กระจายเชื้อ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างแย่จากรัฐบาลไทยก็ตาม แต่ในภายหลังปรากฏว่าผู้ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งใหญ่ในประเทศไทยไม่ได้มาจากคนกลุ่มนี้แต่กลับกลายเป็นกลุ่มคนชั้นกลางระดับสูงและคนที่มีชื่อเสียงของไทยที่เข้าไปชมการชกมวยในสนามมวยมากกว่า  

ยิ่งไปกว่านั้นความคิดเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องยังแทรกซึมลงไปในระดับจังหวัดและจิตใจของแต่ละบุคคล ตรัง เป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดที่ปลอดโควิด – 19 ตามรายงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อนของผู้เขียนซึ่งเป็นนักเรียนไทยในต่างแดนที่เดินทางกลับจากสหราชอาณาจักรก่อนที่รัฐบาลไทยจะประกาศปิดพรมแดนได้ทำการกักกันตนเองเป็นเวลา 14 วัน ภายในบ้านที่ จ.ตรัง ระหว่างที่รอเขาบอกผู้เขียนว่าเขากังวลว่าอาจจะติดเชื้อแล้วแพร่โรคนี้ไปยังพ่อแม่ของเขา แต่สิ่งที่ทำให้กังวลมากขึ้นอีกคือ เขาอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกในจังหวัดตรัง ชื่อของเขาจะถูกประกาศและสร้างความอับอาย เราไม่ต้องการเป็นตัวอันตรายที่จะนำความไม่บริสุทธิ์มาสู่แผ่นดิน ในทำนองเดียวกันสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมีแนวความคิดอย่างไรเมื่อต้องจัดการกับโควิด – 19 อันเชื่อมโยงกับ ‘ความบริสุทธิ์ของร่างกายชาติไทย’

จุดตรวจวัดอุณหภูมิชายแดนแม่สอด (ฝั่งไทย) (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

จุดตรวจวัดอุณหภูมิชายแดนแม่สอด (ฝั่งไทย) (เครดิต) รวีพร ดอกใหม่

ผู้ย้ายถิ่น ผู้เดินทางกลับ การเมืองร่างกายและสิทธิเสรีภาพ

ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนของโควิด – 19 ร่างกายของคนไทยในต่างแดนและแรงงานข้ามชาติ ถูกพิจารณาว่าเป็นอันตรายเหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติใด เป็นคนไทยหรือไม่ใช่ก็ตาม พวกเขาจะต้องถูกกักกันก่อนจึงจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะอยู่ในประเทศไทยแต่พวกเขาจะถูกกีดกันไม่ให้สามารถเข้าถึงสิทธิอย่างเต็มที่ในฐานะพลเมืองไทย โควิด – 19 ส่งผลกระทบต่อร่างกายของคนไทยและแรงงานข้ามชาติอื่นๆ ในรูปแบบที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันดังที่ผู้เขียนชี้แจงไว้ต่อไปนี้

 i. ร่างกายของผู้ต้องสงสัยและพิธีกรรมทางเดิน

ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ข้างต้น ผู้อพยพชาวไทยในต่างแดนจำเป็นต้องส่งเอกสารจำนวนมากก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อเดินทางมาถึงแล้วทุกคนจะต้องอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐเป็นระยะเวลา 14 วัน ร่างกายของพวกเขาถือว่าเป็นอันตรายเนื่องจากอาจมีเชื้อไวรัสดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องอยู่ในที่ห่างไกลจากผู้คน สิ่งนี้เปรียบเสมือนพิธีกรรมที่พวกเขาอยู่ในสภาวะกำกวม (liminal stage) และจะได้รับการยอมรับกลับคืนสู่สังคมหลังจากที่ร่างกายของพวกเขาได้รับการยืนยันว่าปราศจากไวรัส ยิ่งไปกว่านั้น กฎระเบียบดังกล่าวยังทำให้เกิดเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพลเมืองและการเป็นผู้อพยพ (อื่นๆ) โดยลดสถานะให้เป็นผู้ต้องสงสัย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โควิด – 19 ได้ยกเลิกสิทธิของพลเมืองชั่วคราวที่จะมีชีวิตที่เปลือยเปล่า (Bare Life) (Agamben, 2005) การติดป้ายลงไปว่ามาจากต่างประเทศคือร่างกายที่อันตราย ร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนย้ายถิ่นกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนทั้งสังคม นี่คือวิธีการดำเนินการของรัฐยกเว้น

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าซึ่งก็ถือว่าเป็นอันตรายยังคงมีพลังอำนาจบางอย่างอยู่ จากงานของดักลาส (1966) การที่ร่างกายอยู่สภาวะกำกวม เช่น ทารกในครรภ์ของผู้หญิงนั้นมีอำนาจแม้ว่าจะยังไม่เป็นมนุษย์ก็เพราะอาจทำให้ผู้ที่อุ้มท้องเสียชีวิตได้ กรณีร่างกายของผู้ย้ายถิ่นพวกเขาอาจมีหรือไม่มีไวรัสอยู่ จึงทำให้สถานะของพวกเขาไม่ชัดเจน ดั้งนั้นร่างกายของพวกเขาจึงเป็นอันตรายต่อประเทศไทยเนื่องจากอาจแพร่เชื้อไวรัสไปสู่คนไทยในประเทศได้ ในประเทศสิงคโปร์ ชุมชนแรงงานข้ามชาติถูกลืมโดยรัฐบาลและส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของไวรัสในวงกว้าง สิ่งนี้สร้างความกังวลให้แก่รัฐบาลไทยเนื่องจากต้องการให้ประเทศไทยพ้นจากการระบาดระลอกสอง ดังนั้น ในขณะที่แรงงานข้ามชาติเป็นมลทินและกลายเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมแต่พวกเขาก็ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนไทยในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากพวกเขามีอันตราย (และอันตรายนี้เป็นอำนาจในตัว) ขณะเดียวกันแรงงานไทยในต่างแดนก็มีความรู้สึกว่าตนถูกลดทอนความเป็นพลเมืองเมื่อข้ามพรมแดนสุขภาพ โควิด – 19 และรัฐบาลไทยได้ทำให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ของความกำกวมซึ่งเป็นประสบการณ์เดียวกันกับที่แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านได้เผชิญ

 ii. ช่วงเวลาจำกัดสองเท่า

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม รัฐบาลไทยได้ประกาศล็อกดาวน์และปิดกั้นพรมแดน เป็นเวลาเดียวกับที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แรงงานข้ามชาติจำนวนมากจากประเทศเมียนมาถึงเวลาต่ออายุหรือขยายใบอนุญาตทำงานพอดี กระบวนการนี้ไม่สามารถทำได้ในกรุงเทพฯ แต่ละคนจำเป็นต้องกลับเดินทางกลับเมียนมา พวกเขาจึงมักผนวกเอาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานเข้ากับวันหยุดสงกรานต์เพื่อจะได้ใช้เวลาในบ้านเกิดอย่างคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปิดประเทศทำให้หลายคนตกงาน แม้แต่กลุ่มที่ (ยัง) ไม่ถูกเลิกจ้างก็มีความวิตกกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้และวันหนึ่งในไม่ช้าพวกเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเช่นกัน ทำให้พวกเขาเกิดความกังวลว่าควรจะกลับบ้านที่เมียนมาหรือว่ารอให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วจึงต่อวีซ่าหรือว่าควรจะอาศัยอยู่ในประเทศไทยต่อไป

ในกลุ่มที่ตัดสินใจเดินทางกลับ หลายคนต้องติดอยู่ที่ชายแดนไทย-เมียนมา เนื่องจากพรมแดนถูกปิดต้องใช้เวลาหลายวันก่อนที่รัฐบาลไทยและเมียนมาจะมีข้อตกลงเปิดพรมแดนชั่วคราวให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เดินทางกลับได้ ในเวลานั้นรัฐบาลเมียนมากีดกันพลเมืองของตัวเองที่จะกลับบ้านเช่นเดียวกับประเทศไทย กลุ่มผู้ถูกส่งกลับจำเป็นต้องกักกันตัวเองเป็นเวลา 16 วัน ตามที่รัฐบาลเมียนมาสั่ง ต่อมาผู้เดินทางกลับบางส่วนต้องการกลับมาที่ฝั่งไทยเมื่อทราบข่าวจากเพื่อนฝูงของตนเองว่าโรงงานในไทยได้เปิดทำการอีกครั้งหลังจากปิดไป 3 เดือน แต่พรมแดนก็ยังคงปิดไม่ให้มนุษย์ข้ามได้ ยกเว้นการเปิดพรมแดนเพื่อการซื้อขายสินค้าเท่านั้น พวกเขาหลายคนตัดสินใจเดินทางกลับโดยข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายซึ่งบางส่วนถูกตำรวจชายแดนไทยจับตัวและส่งกลับไปยังฝั่งเมียนมา

นอกจากนี้ ยังมีช่วงเวลาที่รัฐบาลท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นในการเปิดพรมแดนให้ผู้อพยพข้ามกลับได้ แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องมีเอกสารแสดงตัวตนทั้งหมดตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นเพื่อผ่านพรมแดนสุขภาพ ที่ชายแดนฝั่งไทย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายของผู้อพยพ มีกรณีที่ผู้อพยพชาวไทใหญ่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจากฝั่งเมียนมาแล้วจะเข้ามายังฝั่งไทยแต่อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส  เจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ส่งตัวเขากลับแต่รัฐบาลเมียนมาไม่ให้เขากลับเข้าประเทศ นักเคลื่อนไหวท้องถิ่นใน อ.แม่สอด รายงานว่ามีอีกกรณีหนึ่งที่แรงงานหญิงชาวมุสลิมกลับไปเมียนมาในช่วงแรกของการปิดพรมแดน พวกเธอสามารถกลับเข้าเมียนมาได้ แต่รัฐบาลเมียนมาได้กักกันพวกเธอไว้ที่ชายแดนเป็นเวลา 16 วัน เมื่อไปถึงบ้านชาวบ้านต่างไม่พอใจเพราะกลัวว่าพวกเธออาจแพร่เชื้อไวรัสไปยังพวกเขารวมถึงสมาชิกในครอบครัว จึงต้องอยู่ในบ้านเพิ่มอีก 14 วัน ต่อมาเมื่อกลับมาที่ฝั่งไทย ชุมชนแรงงานข้ามชาติใน อ.แม่สอด ก็เรียกร้องให้กักกันตนเองอีก 14 วัน เธอได้รับอาหารจากพี่สาวที่มาเยี่ยมเธอวันละสองครั้ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในช่วงการระบาดของโควิด – 19 และระยะผ่อนคลาย แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในสถานะจำกัดอยู่แล้วจะต้องตกอยู่ในเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะสิ้นสุดเมื่อใด ชีวิตของพวกเขาเหมือนจำกัดอยู่ระหว่างเขตแดนสองชั้น  ชั้นแรกมาจากสถานะของพวกเขาในสังคมไทย และโควิด – 19 ก็มาสร้างความจำกัดอีกชั้นให้กับพวกเขา

iii. ความยากลำบากที่เพิ่มขึ้น

มีแรงงานข้ามชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินใจไม่กลับเนื่องจากยังไม่ถูกยกเลิกการจ้างงานหรือนายจ้างไม่อนุญาตให้กลับ กลุ่มนี้อาจไม่ต้องเผชิญกับความจำกัดสองชั้นหรือหลายชั้นแต่กลับต้องรับมือกับความยากลำบากในชีวิตประจำวันขณะที่อยู่ในช่วงเวลานี้

ตี๋ตี๋ ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ เธอกล่าวว่าแม้ว่าโควิด – 19 จะไม่ได้ทำให้เธอตกงานแต่ในระหว่างที่ปิดประเทศ เธอจะต้องเพิ่มชั่วโมงการทำงาน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวของนายจ้างอยู่กับบ้านในช่วงระหว่างการล็อกดาวน์ นอกเหนือจากหน้าที่ประจำแล้ว พวกเขายังเรียกร้องการบริการเพิ่มขึ้น ดังนั้น เธอจึงมีเวลาพักผ่อนน้อยลง เธอกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้พอรับได้และดีกว่าที่จะต้องตกงานในช่วงวิกฤติแบบนี้ เช่นเดียวกับกรณีของ ตู โม ที่ทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านค้าใจกลางกรุงเทพฯ เธอไม่สามารถกลับไปประเทศเมียนมาได้เพราะนายจ้างไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงที่เธออาจไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีก เธอเล่าให้ฟังว่าคิดถึงครอบครัวโดยเฉพาะลูกชายวัย 2 ขวบ ที่พากลับประเทศเมียนมาเมื่อปีที่แล้วและขอให้พ่อแม่ช่วยดูแลเขา เธอตั้งตารอจะได้เห็นและกอดเขาอีกครั้งในช่วงติงจัน (Thingyan) ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ของเมียนมาแต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะการระบาดของโรคโควิด – 19 สำหรับเธอแล้วติงจันไม่ได้เป็นแค่วันหยุดเท่านั้นแต่ยังเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่ได้อยู่บ้านพักผ่อนพบปะเพื่อนฝูงและญาติๆ เข้าร่วมในพิธีทางศาสนารวมถึงการจัดการธุระทางราชการ เช่น การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน

วิน หนุ่มชาวลาหู่-พม่า ทำงานในฟาร์มกล้วยไม้ จ.นครปฐม เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด – 19 เขาและเพื่อนร่วมงานต้องทำงานทุกวัน แต่ในระหว่างการปิดประเทศ คำสั่งซื้อจากต่างประเทศได้หยุดชะงักลง นายจ้างของเขาเลิกเพาะปลูกกล้วยไม้และเลิกจ้างพนักงานครึ่งหนึ่ง ตัวเขาไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากทำงานกับนายจ้างคนนี้มาเกือบ 8 ปี แต่เขาไม่ได้เงินเดือน นายจ้างอนุญาตให้เขาอยู่ในบ้านพักคนงานได้ เขาหยุดส่งเงินกลับบ้านเป็นเวลานานกว่าสามเดือน ภรรยาโทรมาถามว่าจะส่งเงินให้เธอได้เมื่อไรเพราะลูกๆ ต้องกินและใช้จ่ายทุกวัน เขาต้องการงานพาร์ตไทม์เพื่อหารายได้แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยในช่วงเวลานี้ ทำให้เขาเครียดและสิ้นหวัง

นาฬิกาแสดงเขตเวลาในสำนักงานศุลกากรของชายแดนไทย-เมียนมา อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และ อ.แม่สอด ประเทศไทย (เครดิตภาพถ่าย) Uwe Aranas

นาฬิกาแสดงเขตเวลาในสำนักงานศุลกากรของชายแดนไทย-เมียนมา อ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และ อ.แม่สอด ประเทศไทย (เครดิตภาพถ่าย) Uwe Aranas

บทสรุป

ดังที่เรารู้กันดีว่าการระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อร่างกายของผู้อพยพในรูปแบบที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันกับคนไทย สำหรับแรงงานข้ามชาติชาวพม่า ร่างกายของพวกเขามีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะแรงงาน ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ในแง่หนึ่งมันเป็นร่างกายที่ใช้แล้วทิ้ง เพราะเมื่อพวกเขากลับไป แรงงานอพยพคนอื่นก็สามารถเข้ามาแทนที่เขาหรือเธอได้ ในแง่นี้พวกเขาจึงเป็น 'อื่น' ที่เป็นแก่นสารสำหรับรัฐไทย (และพลเมืองจำนวนมากที่จ้างแรงงานข้ามชาติเหล่านี้)

ในขณะที่โควิด -19 ให้ความสำคัญกับ 'ร่างกาย' รุนแรงขึ้น โดยการกำหนดสถานะของการยกเว้นและการสร้างพรมแดนด้านสุขภาพที่เข้มงวดนอกเหนือจากพรมแดนปกติ (ทางการด้านเมืองหรือภูมิศาสตร์) การที่พลเมืองไทยกลับมาค้นพบว่าตัวพวกเขาเองถูกควบคุมในรูปแบบลักษณะเดียวกัน เนื่องจากร่างกายของพวกเขาในฐานะที่เป็นพาหะของไวรัสอยู่ภายใต้ระบบการปกครองด้านสุขภาพเดียวกันซึ่งกำหนดให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือไม่ใช่พลเมืองต้องได้รับการตรวจสอบและเข้าสู่ช่วงกำกวม ก่อนที่จะได้รับการยอมรับกลับเข้าสู่สังคมไทย ผู้เขียนชี้แจงให้เห็นในบทความนี้แล้วว่าเป้าหมายสูงสุดของสังคมไทยคือ การทำให้สังคมบริสุทธิ์ การชำระล้างเชื้อไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งการได้รับการยอมรับจากนานาชาติสำหรับการรับมือที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้คำนึงถึงพลเมืองของตนเองที่หลงเหลืออยู่ในต่างประเทศ เศรษฐกิจที่ตกต่ำ คนตกงานและการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นในระดับประเทศ

แม้ว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจะมียอดผู้ป่วยรายใหม่เป็นศูนย์ แต่จากการสำรวจชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างเป็นวงกว้างในหมู่ประชาชนเพื่อให้ใช้ พรก.ฉุกเฉิน และรักษาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นศูนย์จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวาทกรรมเรื่องความบริสุทธิ์ของชาติไทยดำเนินไปอย่างลึกซึ้งและแพร่หลาย (ไม่เพียงแค่ในรัฐบาล) แม้ว่าหน่วยงานด้านสุขภาพของไทยจะมีความพร้อมในการรับมือกับผู้ป่วยในระดับหนึ่ง (ซึ่งอาจมีหากรัฐผ่อนปรนมาตรการและกฎระเบียบต่างๆ มากกว่านี้) แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยกเลิกภาวะฉุกเฉินลงเมื่อใด

———

* คณะกรรมการ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเมืองทรัพยากรเพื่อการพัฒนาสังคม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[1] ดร.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกประจำศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด – 19  อ้างจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (13 พฤษภาคม 2020) ไม่มีการเรียกข้อมูลผู้ติดเชื้อราย ใหม่จากครั้งแรกโดย https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1917380/no-new-covid-cases-for-the-first-time  (เข้าถึงครั้งสุดท้ายวันที่ 1 ตุลาคม 2563)

[2] ในประเทศไทยทุกคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด – 19 จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลและถูกกักบริเวณ

[3] อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และคณะ (2020) โครงการวิจัย คนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

CRITICAL NATURE: COVID-19, Health Borders, and the Purity of the Thai Nation

by Jiraporn Laocharoenwong*

[Thai version available here]

 Temperature Check at Myanmar/Thai Border (c) Thant Zin Aung / Myanmar Work in Thailand

Temperature Check at Myanmar/Thai Border (c) Thant Zin Aung / Myanmar Work in Thailand

Even though Thailand was the first country outside of China to record COVID-19 infections, the country has been successful in controlling the disease. Infections reached a peak of about 100-150 per day in March 2020, but dwindled to zero cases in May and has remained there since, with totals of around 3,500 infections and 59 deaths since the start of the pandemic. The EU consequently announced Thailand as no longer a dangerous zone. This makes one wonder how the Thai state is able to control/manage the pandemic.

This article examines the ad-hoc policy and regulation applied by the Thai government in controlling the spread of COVID-19 in the country. Based on document and fieldwork research, it reveals that in order to control spreading of the virus (both from outside and inside the country), the Thai government erected a ‘health border’ to control mobility of the people, as well as set up a governing body, the Center for Resolution for Emergency Resolution COVID-19 under the emergency decree. What is needed to pass this ‘health border’ is a Fit-to-Fly certificate, TM.08 form, health certificate indicating COVID-19 negative test, 14 days state-quarantine for people who return from abroad, while domestic regulation for the Thai people inside the country has involved lockdown and prohibition of interprovincial mobility, which also requires a health certificate and official permission to travel between provinces.  

Paradoxically, at the beginning of the crisis, almost all governments around the world recalled their citizens to return to their motherland, but the Thai government actually blocked their citizens to return home, which led many Thai overseas students to be stuck in transitory countries for several days. It was only later that the Thai government announced this ‘health border’, also requiring Thai citizens to complete a health check before returning (the one who is not fit cannot fly).

Instead of seeing and treating the Thai people as citizens that the state needs to protect, the Thai government categorizes people into two boxes: the infectious and the pure body. I draw my analysis upon a concept of Douglas on Purity and Danger (Douglas, 1966). The establishment of a health border and regulation does not only control the spreading of the virus, it suggests that the ultimate concern of the Thai government is reaching and maintaining zero cases and the purity of its nation. Moreover, the Thai overseas migrants returning from abroad and migrant workers are seen as ‘contaminated  bodies’, considered to be dangerous, and become a subject of control and purification. They have to be in a state or an alternative state quarantine without leaving the hotel room for 14 days before they are fully welcomed back home. This is like a rite de passage where a body has to pass through a purification process in order to be accepted back into the Thai society, similar to the idea of putting a criminal in prison in the hope that prison can convert bad people to be good. During this liminal period, the body is not treated fully as a citizen, but similar to a prisoner.

Health Borders: Temperature check in Mae Sot Border (c) Raweeporn Dokmai

Health Borders: Temperature check in Mae Sot Border (c) Raweeporn Dokmai

Health Borders

The Thai government’s response to COVID-19 shares similarities with other countries around the world. State, border and health expertise play a strong role during this crisis involving the death and lives of the people, which scholars have analyzed as ‘state of exception’ (Agamben, 2005). During the COVID-19 emergency crisis, especially, there was nothing more important than ‘health’ or ‘bio-security’, which leads to withdrawal of rights and privacy of the citizen (Agamben, 2020). In such a state of exception, the sovereign (the state) has the power to decide which persons' lives are worth saving and which ones are not. However, what COVID-19 policies effectively did to Thai overseas migrants and migrants from neighboring countries is to blur the boundary of ‘citizen’ and ‘other’. Under the name of health and bio-security, everybody is treated as potentially dangerous, simply a body subject to the state of exception where everyone, citizen or non-citizen, needs to pass through a newly erected health border (in addition to the geographical and political border) in order to screen the health of the body before entering into the Kingdom.

Before the COVID-19 pandemic, international travel required a valid passport and visa to cross the national border. Some countries ask you to fill in the form of declaration that you do not bring any prohibited goods or food to their lands, but during the pandemic, the Thai state requires you to declare your healthiness through fit-to fly, COVID-19 test 72 hour in advance, a TM 08 form, and then a mandatory quarantine. It is like crossing double borders, where the health border has even more stringent requirements than the political one.

Unlike common situations in the Southeast Asia region where (land) borders are often porous and permeable (van Schendel and de Maaker, 2014), COVID-19 caused the Thai government to shut all of the immigration/emigration points, and to seal the entire national border, which is around 5,656 km long. This phenomenon has never happened before. The sealed border was a necessary requirement to declare the state of emergency for health reasons, with the goal of reaching zero cases of infections.

The health border for the Thai citizen specifically comprised:

  • Fit to Fly/Fit to Travel  certificate, issued by a doctor

  • Health certificate indicating COVID-19 negative test

  • TM.08 form, application for re-entry permit to return into the Thai Kingdom

  • Declaration form for 14 days state quarantine

In order to return to Thailand, the Thai overseas returnees need to contact the Thai embassies at the countries where they stay. They need to follow all the procedures and complete all documents. Everything needed to be organized through the Thai embassies locally including arranging for your (repatriation) flight; it is not possible to book your own flight. Upon return, you will be transported to the allocated hotel that you will stay for another 14 days. However, the Thai overseas migrants are not homogenous. They are students, civil servants, tourists, foreign partners, (undocumented) migrant workers. Not all of them are able to get these documents due to difficult procedures, lacking a legal document, or having other difficulties.

Thai migrant workers from Malaysia express that it was difficult to get the Fit-to-Travel certification (they travel by land), especially for those who cannot speak Malay and English. Some of them indicate that in order to get all these documents, they need to travel from their workplaces, which are close to the Thai border, to Kuala Lumpur, the capital of Malaysia. It costs them a lot of money and time. Many of them decide to illegally cross the border back to Thailand. Moreover, the border has been sealed and the Thai government only allows for 100 returnees per day. Some of them have to wait for more than a week to go back to Thailand.  In the health border, citizenship almost carries no weight, it is all about bio-security and zero cases infection. Fassin emphasizes that it is “the tenets of bio-power to make live becomes a matter of choice over who shall live and what sort of life and how long”. Additionaly, life under bio-power is inequality (Fassin, 2009:53). The case of Thai migrant workers from Malaysia clearly show that under this health border, their return is deferred by the Thai state. Their lives might not be important while their bodies are subject of control with demanding to sacrifice for maintain and controlling the virus.

Purity of the Thai (national) body

Taweesin Visanuyothin, giving brief summaries of COVID-19 situation at Center of COVID-19 Situation Administration (CCSA), Government House of Thailand on April 2, 2020 (c) National Broadcasting Services of Thailand

Taweesin Visanuyothin, giving brief summaries of COVID-19 situation at Center of COVID-19 Situation Administration (CCSA), Government House of Thailand on April 2, 2020 (c) National Broadcasting Services of Thailand

Since May 3, the number of new COVID-19 cases reported daily had been in single figures, except for 18 found among quarantined migrants in Songkhla province on May 4”, said Dr. Taweesilp Visanuyothin[1].

The quote clearly shows that Thailand is for the first time free from COVID-19[2] and the body of the Thai nation was cleansed, or purified. The exception in the quote was telling: the migrants who returned from Malaysia and stayed in state quarantine were not considered part of the Thai 'national body', nor did they count as Thai since they were migrants, whose bodies are suspect, having a potential to be infectious. This will contaminate the purity of the Thai national body.

Dr. Taweesilp spoke further:

 "We can relax, but cannot be reckless... Please keep to the new-normal practices. Finally, we may be among the first countries able to end the hardship brought by this disease".

This quote reveals that what the Thai state wants is to claim the credit and recognition from the international community that Thailand is able to deal with this disease and being among the first COVID-19-free countries. However, in order to keep the country free from COVID-19 (which is actually almost impossible to do so) it requires many sacrifices. Apart from the sacrifice of hard-working medical staff, the imposition of lock down measurements obliges people to stay at home. This leads to jobs losses in sectors that depend on people going out, people not able to feed their families, and despair because savings are low and there are debts to pay. The Mental Health Department reports that there are 2551 Thai people committed suicide in early this year. The rate increased by 22 percent compared to last year. The research study from Thai scholar team discloses that among 38 cases that they interviewed attempted to commit suicide were due to lock down, business closure, job losses, and furloughs. Among those 38 cases, there are 28 resulted in death[3].     

The idea of ‘purity body’ of the nation also explicitly resulted in xenophobia and racism for the case of Thai migrants returning from South Korea. The Thai migrant workers, informally called ‘Phee Noi ’ or little ghost since they illegally and discretely stay and work in South Korea, were the first group of Thai migrants who returned. It raised a hot debate in Thai society when social media showed that a female migrant did not do the self-quarantine when she arrived in her hometown in Chiangrai, visiting a restaurant and went shopping. From her case, the Thai society started to pinpoint and blame the return migrants as lacking responsibility to Thai society (as they were also irresponsible for their illegal stay in South Korea which affected other Thai tourists) and that they would be a super spreader, all in spite of the fact that they were treated quite badly by the Thai government. It later turned out that the big spreader of the virus in Thailand is not from them, but the group of upper middle class and Thai celebrities visited the boxing stadium.  

Moreover, the idea of purity penetrates into the provincial level and into individuals' minds. Trang is one of a few provinces that is COVID-19 free according to the report from the Centre for Resolution of Emergency Situation. My friend, a Thai overseas student who returned from the United Kingdom just before the Thai government announced the closing of the border had done his self-quarantine for 14 days in his house in Trang province. During the waiting time, he told me that he worried that he might get an infection and spread disease to his parents, but what made him more anxious is that he would then be the first infection case in Trang province. His name would be announced and put a shame on him. One does not want to be the dangerous body to bring impurity to the land. It similarly reflects what the Thai government thinks of when dealing with COVID-19 being about ‘purity of the Thai national body’.

Temperature Check at Mae Sot Border (Thai side) (c) Raweeporn Dokmai

Temperature Check at Mae Sot Border (Thai side) (c) Raweeporn Dokmai

Migrants, returnees, body politics and liminality

During the unstable time of COVID-19, both the bodies of Thai overseas and other migrants were considered to be dangerous. Regardless of their nationality, whether they are Thai or non-Thai, they must be in quarantine before getting back to live in society. However, migrant workers from neighboring countries are already seen as ‘other’ and not being included in the Thai society. Although they are physically in Thailand, they are generally excluded with no access to full rights as a Thai citizen. COVID-19 affects the body of Thai and other migrants in different and similar ways as  I show in the following:

i. Suspect body and rite de passage

As I illustrated above Thai overseas migrants were required to submit so many documents before returning to Thailand. After arrival, everybody needs to be in a state quarantine for 14 days. Their body is considered to be dangerous as they might carry the virus, therefore they need to be in an isolated place. This is like a rite de passage where they are in liminal stage and they can only be accepted back into society after their bodies are confirmed to be free from the virus. Moreover, the regulation blurs a boundary between being citizen and being migrant (other) by reducing it to be a suspect body. In other words, COVID-19 has temporarily removed rights of the citizen to become bare life (Agamben, 2005). By labelling all bodies coming from abroad as dangerous bodies, the bare body, irrespective of being a Thai citizen or a migrant, becomes a threat to national health security of the whole society. It is this way how the state of exception is operated.

However, the body of Burmese migrant workers, which is considered dangerous, at the same time contains some power. According to Douglas (1966), the body that is in a liminal stage, such as an unborn child in a woman's womb, is powerful since a child which does not yet become a human is a liminal subject whereby the child may inflict the death of the bearer. In the case of the migrant body, they might or might not carry the virus, so their status is unclear. Therefore, their body is dangerous to Thailand in general as they can spread the virus to the Thai citizen. In Singapore, migrant workers community were forgotten by the government and this led to a wide spread of the virus. This worries the Thai government since they want to keep Thailand out of a second wave. So, while migrant workers were spotted on and became subject of control, they also received the same medical treatment as the Thai people for a short time, because of the danger (and thereby power) that they wielded. At the same time, Thai overseas migrants experienced the feeling of their citizenship being partially removed when they crossed the health border. COVID-19 and the Thai government made them go through a short-time liminality period, for a moment sharing the same experience as migrant workers from neighboring countries. 

ii. Double liminality  

In mid-March, the Thai government announced a lock-down and sealing off of the border. It was the same time that the number of infection cases skyrocketed. For many migrant workers from Burma, it also happened to be their time to renew/extend their working permit, and this process cannot be done in Bangkok. Each of them needs to return to Myanmar. So they usually combine this renewal working permit with Songkran holidays, so they can spend some time at their hometown. However, due to the lockdown, many of them lost their jobs. Even the groups who were not (yet) unemployed had a real fear of an uncertain future and that one day soon they might be laid off as well. This led them to doubt whether they should return home to Myanmar, wait for the situation to improve and renew their visa, or that they should continue to stay in Thailand.

Of the group which decided to return, many got stuck at the Thailand-Myanmar border, because the borders were closed. It took several days before the Thai and Burmese government had an agreement to temporarily open the border for these groups of migrant workers to return. At that time, the Burmese government discouraged their own citizens to return home as well. The groups of returnees needed to self-quarantine for 16 days, as mandated by the Burmese government. A while later, some returnees wanted to return to the Thai side when they heard from their networks that the Thai factories were re-opened after a 3-month close. But the border was still closed for humans to cross, only open for commodity trading. Many of them decided to return by illegally crossing the border, upon which some were taken by the Thai border police and sent back to the Myanmar side.

There was also a time when the local government was flexible to open the border for migrants to cross back, however, they were required to have all obligatory documents as I mentioned above to pass the health border. At the border on the Thai side, the office checked migrants’ body temperature. There was a case that the Shan migrant passed the immigration control from Myanmar side then cross to Thai side, but his body’s temperature exceed 37.5 degrees Celsius. The Thai office sent him back, but the Burmese government did not want to take him back either.  Another case was reported by the local activist in Mae Sot about Muslim female migrants returned during the early time of the closed border. She was able to go back to Myanmar, but the Burmese state put them in a quarantine for 16 days at the border. When she arrived at her house, villagers were unhappy and afraid that she may spread the virus to them and their family members. She was required to stay inside her house for an additional 14 days. Later on, when she came back to Thai side, the migrant community in Mae Sot also required her to quarantine for 14 days and she relied on the food from her sister who visit her two times a day. This clearly show that during COVID-19 outbreak and relaxing phase, migrant workers who are already in a liminal position fall into another liminality with uncertainty when it will it end. Their lives are like being in double/layered liminality, one is from their status in the Thai society, and other is affected by COVID-19 which creates another layer of liminality to them.

iii. More difficulties

There is another group of migrant workers who decided not to return since they did not lose their job or their employer did not allow them to return.  This group may not face a double/layered of liminality, but they have to cope with difficulties on everyday life level while staying during this time.

Tee Tee works as a housekeeper in a suburb of Bangkok. She said that although COVID-19 did not make her lose her job, during lock-down she had to work longer hours and harder than before since her employer’s family members stayed at home. Apart from routine work, they demanded more services, so she had quite less time to relax. She said it was okay and better than losing her job. Similar to the case of Htoo Moo that works as a shop assistant in a center of Bangkok, she could not return to Myanmar since the employer did not want to take risk as she might not be able to return to Thailand again. She shared with me that she missed her family, especially her 2-year old son who she brought back to Myanmar last year and asked her parents to take care of him. She looked forward to seeing and hugging him again during the Thingyan, the Burmese New Year Festival. But it was impossible because of COVID-19. For her, Thingyan is not only just holidays, but a valuable time being at home in her house, relaxing, meeting friends and relatives, participating in religion ceremony, as well as taking care of official business, such as renewing her working permit.  

Win, a Lahu-Burmese man, works in an orchid farm in Nakorn Pathom. He shared with me that before COVID-19, he and his colleagues had to work every day. But during the lockdown, the orders from abroad stopped. His employer stopped cultivating orchids and laid off half the number of workers. He himself was not unemployed since he had been working with this employer for almost 8 years. But, he did not get paid his salary. The employer allowed him to stay in a worker house. He stopped sending remittances home for more than three months. His wife called and asked him when he could send her some money, his children have to eat every day. He wanted to find a part-time job in order to get some income, but it was impossible during this time. This made him stressed and he felt despair.

Tachileik, Myanmar / Mae Sai, Thailand: The time zone watches in the customs office ot the Myanmar-Thai Border. (c) CEphoto, Uwe Aranas

Tachileik, Myanmar / Mae Sai, Thailand: The time zone watches in the customs office ot the Myanmar-Thai Border. (c) CEphoto, Uwe Aranas

Conclusion

As we can see, COVID-19 outbreak affects migrant bodies in different and similar ways as Thai citizens. For the Burmese migrant workers, their body is necessary for the Thai economy as a body of labor, but not for something else. In a sense, it is a body that is disposable: if they go back, another migrant can take his/her place. In this sense, they are the quintessential 'other' to the Thai state (and many of its citizens who employ these migrants).

While COVID-19 exacerbated this focus on 'the body' by establishing a state of exception and erecting a strict health border in addition to the regular (political/geographical) border, returning Thai citizens suddenly found themselves subjected to a similar objectification, because their bodies as potential carriers of the virus were subject to the same health regime, which required anyone, citizen or non-citizen, to undergo several checks and enter into a liminal phase before being accepted back into Thai society. I showed in this article that the ultimate goal for Thai society hereby was purification of society, cleansing it of all virus elements, even getting international recognition for its successful response, yet irrespective of its own citizens left stranded abroad, a tanking economy, people losing their jobs, and increasing suicides nationally. Even after months of zero new cases, polls show widespread support in the population to keep the state of emergency going and maintain zero cases at all costs, which shows that the discourse of the purity of the Thai nation runs deep and is widespread (not only in the government). Even though Thai health authorities seem well-equipped to deal with a few cases if regulations would relax, it is still unclear when the state of emergency will be lifted.

—--

 * Commitee Member, Center of Excellence in Resource Politics for Social Development, Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University

[1] Dr. Taweesilp Visanuyothin is the spokesperson of Centre for Resolution of Emergency Situation-COVID-19. The quote is from Bangkok Post. (13th May 2020). No new Covid-cases for the first time retrieved from https://www.bangkokpost.com/thailand/general/1917380/no-new-covid-cases-for-the-first-time (last access on 1 October 2020)

[2] In Thailand everyone diagnosed with COVID-19 gets transported to the hospital and is put in quarantine.

[3] อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และคณะ (2020) โครงการวิจัย คนจนเมืองทmี่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

References

Agamben, G. (2005). State of Exception. Chicago: The University of Chicago Press.

Agamben, G. (2020, March 14). Retrieved from the Book Haven: https://bookhaven.stanford.edu/2020/03/giorgio-agamben-on-coronavirus-t…

Douglas, M. (1966). Purity and Dange: An Analysis of Pollution and Taboo. London: Routledge Classics.

Fassin, D. (2009). Another Politics of Life is. Theory, Culture & Society, 44-60.

van Schendel, W., & De Maaker, E. (2014). Asian Borderlands: Introducing their Permeability, Strategic Uses and Meanings. Journal of Borderlands Studies, 29(1), 3-9. doi: 10.1080/08865655.2014.892689

——

This article was originally published on the Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia website on 9 October 2020 at this link.

BOOK CHAPTER: A State of Knowledge of the Salween River: An Overview of Civil Society Research

9783319774398.jpg

Publication date:
August 2019

Publication:
Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

Chapter Title:
A State of Knowledge of the Salween River: An Overview of Civil Society Research

Authors:
Vanessa Lamb, Carl Middleton, Saw John Bright, Saw Tha Phoe, Naw Aye Aye Myaing, Nang Hom Kham, Sai Aum Khay, Nang Sam Paung Hom, Nang Aye Tin, Nang Shining, Yu Xiaogang, Chen Xiangxue, Chayan Vaddhanaphuti

Editors:
Carl Middleton and Vanessa Lamb

You can access the chapter here.

For further details on the book and to purchase, please visit Springer.

For more information about our project Salween Water Governance, please visit here.

This chapter presents an overview of civil society research on Salween, providing an overview of the existing knowledge of the basin and a start to identifying key knowledge gaps in support of more informed, inclusive, and accountable water governance in the basin.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Lamb, V., Middleton, C., Saw John Bright, Saw Tha Phoe, Naw Aye Aye Myaing, Nang Hom Kham, Sai Aum Khay, Nang Sam Paung Hom, Nang Aye Tin, Nang Shining, Yu, X., Chen, X. and Vaddhanaphuti, C. (2019) “A State of Knowledge of the Salween River: An Overview of Civil Society Research” (pp 107-120) in Middleton, C. and Lamb, V. (eds.) Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River. Cham, Switzerland: Springer.

BOOK CHAPTER: From Hydropower Construction to National Park Creation: Changing Pathways of the Nu River

9783319774398.jpg

Publication date:
August 2019

Publication:
Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

Chapter Title:
From Hydropower Construction to National Park Creation: Changing Pathways of the Nu River

Authors:
Yu Xiaogang, Chen Xiangxue, Carl Middleton

Editors:
Carl Middleton and Vanessa Lamb

You can access the chapter here.

For further details on the book and to purchase, please visit Springer.

For more information about our project Salween Water Governance, please visit here.

This chapter explores the range of visions for the Nu River and the extent to which they have materialized through exploring five ‘pathways’, namely: The hydropower construction pathway; the civil society river protection pathway; the energy reform pathway; the national park pathway; and the water conservancy pathway.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Yu, X., Chen, X., and Middleton, C. (2019) “From Hydropower Construction to National Park Creation: Changing Pathways of the Nu River” (pp 49-70) in Middleton, C. and Lamb, V. (eds.) Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River. Cham, Switzerland: Springer

BOOK CHAPTER: Hydropower Politics and Conflict on the Salween River

9783319774398.jpg

Publication date:
August 2019

Publication:
Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

Chapter Title:
Hydropower Politics and Conflict on the Salween River

Authors:
Carl Middleton, Alec Scott and Vanessa Lamb

Editors:
Carl Middleton and Vanessa Lamb

You can access the chapter here.

For further details on the book and to purchase, please visit Springer.

For more information about our project Salween Water Governance, please visit here.

This chapter examines the hydropower politics of the Salween River, with a focus on the projects proposed in Myanmar and their connections with neighboring China and Thailand via electricity trade, investment, and regional geopolitics.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Middleton, C., Scott, A. and Lamb, V. (2019) “Chapter 3: Hydropower Politics and Conflict on the Salween River” (pp 27-48) in Middleton, C. and Lamb, V. (eds.) Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River. Cham, Switzerland: Springer

BOOK CHAPTER: Introduction: Resources Politics and Knowing the Salween River

9783319774398.jpg

Publication date:
August 2019

Publication:
Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

Chapter Title:
Introduction: Resources Politics and Knowing the Salween River

Authors:
Vanessa Lamb, Carl Middleton, and Saw Win

Editors:
Carl Middleton and Vanessa Lamb

You can access the chapter here.

For further details on the book and to purchase, please visit Springer.

For more information about our project Salween Water Governance, please visit here.

This chapter provides an overview of key arguments and concepts of the edited volume across three themes: resource politics, politics of making knowledge, and reconciling knowledge across divides.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Lamb, V., Middleton, C. and Saw Win (2019) “Introduction: Resources Politics and Knowing the Salween River” (pp 1-16) in Middleton, C. and Lamb, V. (eds.) Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River. Cham, Switzerland: Springer

BOOK: Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

9783319774398.jpg

Title:
Knowing the Salween River: Resource Politics of a Contested Transboundary River

Editors:
Carl Middleton and Vanessa Lamb

Year:
2019

Further details about the book are available here.

This open access book focuses on the Salween River, shared by China, Myanmar, and Thailand, that is increasingly at the heart of pressing regional development debates. The basin supports the livelihoods of over 10 million people, and within it there is great socio-economic, cultural and political diversity. The basin is witnessing intensifying dynamics of resource extraction, alongside large dam construction, conservation and development intervention, that is unfolding within a complex terrain of local, national and transnational governance. With a focus on the contested politics of water and associated resources in the Salween basin, this book offers a collection of empirical case studies that highlights local knowledge and perspectives. Given the paucity of grounded social science studies in this contested basin, this book provides conceptual insights at the intersection of resource governance, development, and politics of knowledge relevant to researchers, policy-makers and practitioners at a time when rapid change is underway.

For more information about our project Salween Water Governance, please visit here.

OPINION: What does Chinese ‘reciprocity’ mean for Mekong’s dams?

by Carl Middleton

The Lancang Mekong supports 70 million people living in the basin(Photo: He Daming)

The Lancang Mekong supports 70 million people living in the basin(Photo: He Daming)

It is now two and a half years since the first Lancang Mekong Cooperation (LMC) leaders’ summit was held in Sanya city on Hainan Island, China. The aim of the LMC – a China led multilateral body involving all six Mekong countries – is to deepen economic, cultural and political ties between China and mainland Southeast Asia. Leaders have repeatedly declared the importance of the Lancang-Mekong River to this cooperation. Reflecting this, on 1-2 November, the LMC will host the “1st Lancang-Mekong Water Resources Cooperation Forum” in Kunming, China.

The LMC’s second leaders’ summit in Phnom Penh, Cambodia in January 2018 revealed the swift pace of the initiative. This is reflected in the numerous senior-level meetings between governments, the initiation of almost 200 China-funded projects, and the LMC’s deepening institutionalisation through various LMC secretariats and working groups. Yet, while China has hosted people-to-people exchange programs and university scholarships, the LMC’s state-centric approach has afforded little opportunity for public deliberation about its overall policy principles and direction.

Through the LMC, some government officials and scholars from China have proposed that downstream and upstream countries have both rights and responsibilities towards each other. This concept of ‘reciprocity’ is not yet official LMC policy, but suggests a shift in government position compared to China’s earlier unilateral construction of dams on the Lancang River. Overall, the LMC and its proposition of ‘reciprocity’ appears to be an invitation to negotiate basin-wide water cooperation on the Lancang-Mekong River.

Much, however, remains uncertain. For example, how will the LMC build upon the existing inter-governmental Mekong River Commission, established in 1995 by the four lower basin countries? How will the LMC address concerns of riverside communities and civil society and ensure their meaningful inclusion? And how will countries ensure the river’s ecological health given the strong push for economic growth and associated water infrastructure projects? This article asks whether the LMC and the concept of ‘reciprocity’ is a promising approach to meet these challenges.

For the full article, please click here.

POLICY BRIEF: Reciprocal Transboundary Cooperation on the Lancang-Mekong River: Towards an Inclusive and Ecological Relationship

Publication date:
November 2018

Publication: 
Reciprocal Transboundary Cooperation on the Lancang-Mekong River: Towards an Inclusive and Ecological Relationship

Download the policy brief here.

Visit the Water governance and knowledge production on the Lancang-Mekong River project page here.

Author: 
Carl Middleton
 

Summary
It is now two and a half years since the first Lancang Mekong Cooperation (LMC) leaders’ summit was held in Sanya city in Yunnan Province, China. During this period, the LMC has become increasingly institutionalized. The overarching ambition of the LMC is to deepen economic, cultural and political ties between China and mainland Southeast Asia. This policy brief assesses emerging principles for transboundary water cooperation under the LMC, in particular the concept of reciprocity that expands upon the UN Water Courses Convention. It also assesses the role of the LMC vis-a-vis the Mekong River Commission in transboundary water governance. The analysis concludes that as the LMC becomes a more consolidated institution, a genuine and equal partnership for the Lancang-Mekong River cooperation is needed that could build upon principles of “inclusive reciprocity” between state and non-state actors, and “ecological reciprocity” that recognizes the need for an ecologically healthy Lancang-Mekong River.

Mekong River at Chiang Khong, Northern Thailand (Credit: Carl Middleton)

Mekong River at Chiang Khong, Northern Thailand (Credit: Carl Middleton)

POLICY BRIEF: Analyzing the Impact of Land Cover Changes on Socio-economic Conditions and its Policy Implications in Kayah, Myanmar

This policy brief aims to highlight and analyze the impact of land cover changes to the socio-economic conditions of four villages in Bawlakhe District, Kayah State and its policy implications in Myanmar. The study area lies in the Thanlwin (Salween) River Basin, home to communities of various ethnic groups including the Kayah, Yintale and Shan, as well as being rich in biodiversity. These local communities heavily depend on this watershed area for most parts of their lives, including food, water, security, fuel and income. The main economy of the people in these areas depends on forest production, which is the major economy in Bawlakhe. Moreover, local people depend on subsistence farming, especially shifting cultivation which is practiced in these areas. Their livelihoods are still closely related to the environment and largely contribute to the local economy. This policy brief shares geographical research to describe the role of forest use in support of livelihoods for the communities in the study area.Declining fish stock and catches within the estuary and out at sea have had deep impacts on community livelihoods, ecology and socio-economics within last ten to forty years. Encouraging the reduction and management of the natural and anthropogenic threats might encourage specific ways to improve the fishery status of the estuary.

Read More

POLICY BRIEF: Thanlwin-Nu-Salween Estuary: Threats Challenging Brackish Water Fisheries

The Thanlwin/Salween River originates in China, where it is known as the Nu (angry) River and flows south into Myanmar, then eventually Thailand. It meets with two rivers (namely the Gyine and Attran Rivers) at the point of Mawlamyine and together discharge into the sea (Gulf of Mottama) by two channels (namely the Mawlamyine and Dayebauk Rivers). These four Thanlwin tributaries are experiencing daily tidal intrusion and freshwater discharge, forming estuarine environments and habitats for varieties of fresh, brackish and marine creatures. The term estuary refers to a mixing body of fresh and sea waters. The Mon and Kayin ethnic groups are dominant around the estuary and the riparian communities largely depend on fisheries within the river tributaries as well as those out at sea for their livelihoods and survival.

Declining fish stock and catches within the estuary and out at sea have had deep impacts on community livelihoods, ecology and socio-economics within last ten to forty years. Encouraging the reduction and management of the natural and anthropogenic threats might encourage specific ways to improve the fishery status of the estuary.

Read More

POLICY BRIEF: Ethnobotanical Survey in Kun Lone, Lashio District: Documenting Traditional Medicine

Kun Lone township, situated in Lashio District, Northern Shan State, Myanmar is home to various ethnic groups, namely the Kokant, Wa, Kachin, Larr hue, Bamar, and Shan. It is also home to various medicinal plants that are essential for traditional medicine practices. In developing countries, traditional medicine is perceived to be an important part of human health care (WHO, 2002). In Myanmar, health care has even been provided to the people with potent therapies of traditional medicines at Yangon Traditional Medicine Hospital, Mandalay traditional medicine hospital and Monywa Traditional Medicine hospital. Myanmar traditional medicine practitioners aim to give health care services to people in accordance with their traditions. This policy brief documents traditional ethnomedicine use and practices in Kun Lone township and suggests ways that traditional medicine can continue to provide health care benefits for the future.

Read More

REPORT: Water Governance and Access to Water in Hakha Town, Chin State, Myanmar

REPORT: Water Governance and Access to Water in Hakha Town, Chin State, Myanmar

By Carl Middleton, Naruemon Thabchumpon, Van Bawi Lian and Orapan Pratomlek

 

Hakha town is the capital of Chin State, Myanmar, located in the mountainous Northwest of the country. In recent years, the town’s population has faced growing water insecurity, which has created great hardship for the local population. Meanwhile, a major landslide in the town in July 2015 compounded these challenges, resulting in the resettlement of over 4000 people.

The purpose of the research presented in this report is to understand the underlying factors and dynamics that have produced water insecurity in Hakha town to generate policy recommendations towards attaining sustainable access to water for all.  

Read More

POLICY BRIEF: Natural Resource Use and Access and Local Livelihoods Along the Thanlwin River Basin

Watershed resources in the Shan state of Myanmar provide the base for livelihood security among rural populations, providing food, shelter, and medicine to regions where markets, clinics, and schools are scarce. Taungya, or shifting cultivation, utilizes the landscape as an agricultural mosaic of forest and upland fields.


The Thanlwin River, also known as the Salween, provides fish, crustaceans, and riverbank vegetables as food for village members; gold for currency; water for drinking and household needs; and power for micro-hydro generators.

Read More

POLICY BRIEF: Gender and Hydropower: Women’s Rights in the Development Discourse

This policy brief provides recommendations for hydropower developments, focusing particularly on the nexus of gender and hydropower development. In recent years, Myanmar has been moving towards market economy development with a tendency to extract natural resources in order to fuel economic growth. Hydropower is an example of how the government is meeting the demands of economic growth through electricity that benefits some at the expense of others. Gender is just one aspect among many that has been undermined in this process. It is recognized in Myanmar that women are important bearers of culture in society, often with a close relationship with the environment, but they have little recognition in society and have little decision making power when it comes to natural resource management

Read More

POLICY BRIEF: “Rights and Rites:” Approaching the Issue of Justice for the Salween River

The Salween River is valuable for the livelihoods and culture of millions of ethnic people living along it. Hatgyi Dam is one of the five dams that is planned to be built in Karen State, Myanmar. Situated in an armed conflict area, the dam is not only challenging the livelihoods and culture of the local people but is also being seriously affected by decades of violent conflict resulting in human rights violations and mass displacement of civilians. There are questions of community involvement in the decision-making processes regarding the dam project, and therefore a constructive response is needed for justice in water governance on the Salween River. Drawing from recent research on the Hatgyi Dam, this policy brief applies the concepts of "Rights" and "Rites" to examine community expectations and decision-making processes towards the project. The “Rights-Based Approach” is a formalized and legalistic approach normally recognized by the state, while the “Rites-Based Approach” is a locally defined natural resource management approach which is centered around cultural norms and local knowledge. The objective is to show how both approaches of “Rights and Rites" could help contribute towards inclusive decision-making and address concerns about injustice. The issue of justice is not yet fully considered in the current development policy agenda for water governance in Myanmar, and decision-making over the Salween dams to date has been highly centralized without community participation. Within the opportunities provided by Myanmar’s current political context, "Rights" and "Rites" approaches towards water governance policy in Myanmar could contribute positively towards inclusive decision-making in order to address the issue of justice in water governance for the Salween River.

Read More

POLICY BRIEF: Myanmar and China Dams: The Need for Strong Environmental Impact Assessment

A comparative study on China’s and Myanmar’s approaches to environmental impact assessments (EIA) to hydropower projects shows that the Chinese EIA is weaker than the Myanmar EIA based on Myanmar’s EIA procedural rules of 2015 and other environmental laws and standards. These findings partially explain the not very successful Chinese investment in hydropower projects in Myanmar, which are argued to have important and often negative implications for both countries.

Read More

POLICY BRIEF: Large Hydropower Projects in Ethnic Areas in Myanmar: Placing Community Participation and Gender Central to Decision-Making

POLICY BRIEF: Large Hydropower Projects in Ethnic Areas in Myanmar: Placing Community Participation and Gender Central to Decision-Making

Until recent times, due to a lack of transparency, accountability and community participation, large scale hydropower dams in resource rich, ethnic areas rarely benefited the local people, instead having negative impacts on their livelihoods and the environment. Existing studies have indicated that dam projects in ethnic areas are associated with human rights violations and increasing the risk of triggering conflict in such sensitive areas. In most cases, disadvantaged groups such as women and children are usually the ones mostly affected. Given the historical and traditional lack of women’s participation in public affairs, especially in ethnic areas, women’s voices are rarely heard and mostly excluded from the development process that directly affects their lives.

Read More

POLICY BRIEF: Water Governance and Access to Water in Hakha Town, Chin State, Myanmar: Towards Addressing Water Insecurity [Chin language]

Hakha-pic.jpg

Publication date:
July 2017

Publication:
CSDS Policy Brief

Author:
Carl Middleton, Naruemon Thabchumpon, Van Bawi Lian, and Orapan Pratomlek

Please see the Chin language policy brief here.
Please see the English language policy brief here.

Summary
Hakha cu Kawlram nitlak chaklei fing le tlang an tamnak Chin ramkulh khualipi a si. A liamcia kum tlawmpal ah Hakha khuachung khuasa an hung karh ciammam i dinti ah harnak a tong. Cu lio ah 2015 Chiapa thla dongh ah mincimhnak hun ton a si i minung a thong lengkai hmundang ah ṭhial hau in an um. Hi kan dothlatnak nih a langhter mi cu zeitluk in dah ti harnak hi taksa nunnak le zatlang khuasaknak aa pehtlaih: Khuapi pakhat a si i, minung an hung karh tik ah zeitin in dah inn hmun an samh ti le khua an ser ning, tihram ngeih mi hna pawngkam vialte thinghau le thinghlam nak nih ti a chuak tawn mi le hman tawn mi a tlawmter, cun ti pekning le sersiam ning kong ah tangka hman awk pek lonak hna nih ti kong ah i zat lonak le harnak a chuahpi. 
Khuaram kan sersiam pah i ti kong biapi chiahnak nih ti harnak in i runven khawh a si, tiva horkuang sersiam ning, atu lio tawlrel cuahmah mi sipin ti peknak le hman ning kong ah laihlum khuasa hna le ti a hmang mi hna he i fonh in tiharnak in i runvennak timhtuahnak ngeihchih a herh. Cun, a biapi deuh rih mi cu ṭuanvo ngeitu le mizapi karlak ah i zumhnak, i bochannak le i ngamhtlaknak hna nih Hakha khuachung khuasa hna caah ti pek ning le ti hmuh ning ah hngatchan tlak le rinhchantlak a siter lai. 

OPINION: Reasons for Water Scarcity in Hakha [In Chin language]

OPINION: Reasons for Water Scarcity in Hakha [In Chin language]

Hakha cu Kawlram nitlak chaklei fing le tlang an tamnak Chin ramkulh khualipi a si. A liamcia kum tlawmpal ah Hakha khuachung khuasa an hung karh ciammam i dinti ah harnak a tong. Cu lio ah 2015 Chiapa thla dongh ah mincimhnak hun ton a si i minung a thong lengkai hmundang ah ṭhial hau in um. Hi kan dothlatnak nih a langhter mi cu zeitluk in dah ti harnak hi taksa nunnak le zatlang khuasaknak aa pehtlaih: Khuapi pakhat a si i, minung an hung karh tik ah zeitin in dah inn hmun an samh ti le khua an ser ning, tihram ngeih mi hna pawngkam vialte thinghau le thinghlam nak nih ti a chuak tawn mi le hman tawn mi a tlawmter, cun ti pekning le sersiam ning kong ah tangka hman awk pek lonak hna nih ti kong ah i zat lonak le harnak a chuahpi. Khuaram kan sersiam pah i ti kong biapi chiahnak nih ti harnak in i runven khawh a si, tiva horkuang sersiam ning, atu lio tawlrel cuahmah mi sipin ti peknak le hman ning kong ah laihlum khuasa hna le ti a hmang mi hna he i fonh in tiharnak in i runvennak timhtuahnak ngeihchih a herh. Cun, a biapi deuh rih mi cu ṭuanvo ngeitu le mizapi karlak ah i zumhnak, i bochannak le i ngamhtlaknak hna nih Hakha khuachung khuasa hna caah ti pek ning le ti hmuh ning ah hngatchan tlak le rinhchantlak a siter lai.

Read More