JOURNAL ARTICLE: Hydrosocial rupture: causes and consequences for transboundary governance

Screen Shot 2564-09-12 at 21.57.07.png

Publication date: September 2021

Publication: Ecology and Society

Authors: Michelle A. Miller, Alfajri, Rini Astuti, Carl Grundy-Warr, Carl Middleton, Zu Dienle Tan and David M. Taylor

Abstract:

Unsustainable models of growth-based development are pushing aquatic ecologies outside known historical ranges and destabilizing human activities that have long depended on them. We develop the concept of hydrosocial rupture to explore how human-water resource connections change when they are exposed to cumulative development pressures. The research analyzes stakeholder perceptions of hydrosocial ruptures in two sites in Southeast Asia: (1) peatlands in Riau Province, Indonesia, and (2) Tonle Sap Lake, Cambodia. In both contexts, capital-driven processes have reconfigured human-water resource connections to generate transgressive social and environmental consequence that cannot be contained within administrative units or property boundaries. Our findings show how these ruptured hydrosocial relations are perceived and acted upon by the most proximate users of water resources. In Cambodia, a policy of resettlement has sought to thin hydrosocial relations in response to biodiversity loss, chronic pollution, and changing hydrology in Tonle Sap Lake. By contrast, in Indonesia’s Riau Province, efforts are underway to thicken human-water relations by hydrologically rehabilitating peatlands drained for agricultural development. We argue that in both of these contexts hydrosocial ruptures should be understood as phenomena of transboundary governance that cannot be addressed by individual groups of users, sectors, or jurisdictions.

Keywords: hydrosocial relations; rupture; Southeast Asia; transboundary water governance

See the article here.

Citation: Miller, M. A., Alfajri, R. Astuti, C. Grundy-Warr, C. Middleton, Z. D. Tan, and D. M. Taylor. 2021. Hydrosocial rupture: causes and consequences for transboundary governance. Ecology and Society 26(3):21. https://doi.org/10.5751/ES-12545-260321

REPORT: Strengthening Water Diplomacy Through Water Data Sharing and Inclusive Evidence-Based Transboundary Governance

CDRI Report-210722.png

Publication date:
August 2021

Publication:
Strengthening Water Diplomacy Through Water Data Sharing and Inclusive Evidence-Based Transboundary Governance

Authors:
Carl Middleton, Anisa Widyasari, Kanokwan Manorom, David J. Devlaeminck, Apisom Intralawan

Download the report here.

In transboundary river basins, water data and information sharing are the foundation of trust building, evidence-based cooperation and water diplomacy between riparian states, and also with non-state actors including riparian communities and civil society.  This research report examines what options exist for improved evidence-based transboundary water governance in the Mekong-Lancang basin building from recent improvements in basin-wide water data sharing. It presents a review of international best practice on water data sharing in international law, outlines existing institutionalized water data sharing arrangements in the Mekong-Lancang basin, analyzes how the availability of water data and its analysis influenced hydropolitics and geopolitics during the 2019-2020 drought, and presents recent empirical evidence from North and Northeast Thailand on riparian communities’ access to water data. The report concludes by identifying policy options on three themes: comprehensive and accessible scientific water data; diversity of water knowledge; and deepening water diplomacy and institutionalizing transboundary accountability.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Middleton, C., Widyasari, A., Manorom, K., Devlaeminck, D.J. and Intralawan, A. (2021) Strengthening water diplomacy through water data sharing and inclusive evidence-based transboundary governance. August, 2021. Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University, and Cambodia Development Research Institute: Bangkok and Phnom Penh.

This report is part of our project Water Diplomacy in the Mekong Basin. You can visit the project page here.

ธรรมชาติเชิงวิพากษ์: นอกเหนือจากการแบ่งปันข้อมูลน้ำร่วมกันแล้ว แม่น้ำหลานซาง-แม่โขง ยังต้องการธรรมาภิบาลน้ำที่รับผิดชอบ

โดย ผศ.ดร.คาร์ล มิดเดิลตัน[1]

[English version available here]

วิวแม่น้ำโขงที่มองจากเวียงจันทร์ ประเทศลาว (เครดิต: ภาพถ่ายจาก HEINRICH-BÖLL-STIFTUNG SOUTHEAT ASIA)

วิวแม่น้ำโขงที่มองจากเวียงจันทร์ ประเทศลาว (เครดิต: ภาพถ่ายจาก HEINRICH-BÖLL-STIFTUNG SOUTHEAT ASIA)

ในปี 2562 และอีกครั้งในปี 2563 แม่น้ำโขงหรือรู้จักในชื่อแม่น้ำหลานซางที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ได้ประสบกับปัญหาการไหลของกระแสน้ำที่ลดต่ำลง สิ่งนี้ได้สร้างความยากลำบากให้กับผู้คนนับล้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณแม่น้ำดังกล่าว

เกิดการถกเถียงในระดับภูมิภาคอย่างเอาจริงเอาจังและแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่ายเกี่ยวกับการลดลงของประแสน้ำอันเกิดจากความแห้งแล้งหรือผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดทั่วทั้งลุ่มน้ำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา สิ่งนี้ได้ส่งผลให้มีการเฝ้าติดตามและสนใจเป็นอย่างมากในการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำทั้ง 11 แห่ง ที่ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำสายหลักในประเทศจีนเนื่องจากขาดความโปร่งใสในการดำเนินงานก่อสร้างของโครงการเขื่อนและปริมาณการกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำ

ในเดือนเมษายน 2563 องค์กรที่ปรึกษาด้านการวิจัยที่ชื่อว่า อายออนเอิร์ธ (Eyes on the Earth) ได้ทำการเผยแพร่แบบจำลองกระแสน้ำตามธรรมชาติ (ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อน) ของแม่น้ำหลานซาง เพื่อคาดการณ์ผลกระทบของเขื่อนที่ตั้งอยู่ปลายน้ำในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจังในทรัพยากรสาธารณะอันเป็นที่ตั้งของสถานีวัดน้ำในประเทศจีน แบบจำลองทางสถิติ (Statistical Model) ได้ใช้ข้อมูลดาวเทียมเพื่อสร้าง “ดัชนีความเปียกชื้น” เพื่อคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างกักเก็บน้ำและหลังจากนั้นจะนำผลที่ได้นี้ไปเชื่อมโยงกับการตรวจวัดระดับน้ำรายเดือนที่สถานีวัดน้ำใน อ.เชียงแสน ประเทศไทย โดยรวมแล้วการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่มีการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำหลานซางที่ได้รับมอบอำนาจหน้าที่ให้ดำเนินการก่อสร้างในช่วงต้นปี 2533 ซึ่งระดับน้ำมีการลดระดับลงในช่วงฤดูฝนและเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง การผิดปกติเพิ่มมากขึ้นและเกิดความผันผวนอย่างรวดเร็วในระดับน้ำทั้งในฤดูแล้งและฤดูฝน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ปรากฏชัดตั้งแต่ปี 2555 เมื่อเขื่อนนัวจาตู้ (Nouzhadu) ที่มีกำลังการผลิตกระไฟฟ้าขนาด 5,850 เมกะวัตต์ เริ่มเติมน้ำเข้าไปในอ่างเก็บน้ำนั่นจึงทำให้เห็นว่าอ่างเก็บน้ำแห่งนี้มีปริมาณขนาดใหญ่กว่าทั้ง 4 เขื่อนที่สร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้รวมกันเสียอีก

ในขณะที่ข้อสรุป (ความคิดเห็น) ต่างๆ เหล่านี้ได้มาจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ รายงานที่จัดทำรายงาน นว่าEำเนินการมาก่อนหน้านี้ ทยาี่จะโดย Eyes on the Earth ได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างมากทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติเนื่องจากกลุ่มภาคประชาสังคมหลายกลุ่มรวมทั้งตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอ้างว่ามีหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาความรุนแรงจากภัยแล้งในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2562 – 2563 อันเนื่องมาจากการ “ปิดก๊อก” หรือ กักตุนน้ำ” เพื่อเก็บไว้ใช้ของประเทศจีน ถ้อยแถลงการณ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การโต้แย้งจากนักการทูตและนักวิจัยของจีนเป็นจำนวนมาก

การกล่าวอ้างที่สำคัญดังกล่าวนำไปสู่การตรวจสอบรายงานของ Eyes on Earth อย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้แก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (The Mekong River Commission: MRC) ออสเตรเลีย-ความร่วมมือแม่น้ำโขงเพื่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและระบบพลังงาน (The Australia – Mekong Partnership for Environmental Resource and Energy Systems: AMPERES) และนักวิชาการที่ตั้งข้อสังเกตุถึงข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ในรายงานได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของระดับน้ำแต่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งนี้นั้นเทียบเท่ากับปริมาณน้ำ ไม่ได้บ่งบอกว่าจีนสามารถกักเก็บน้ำได้ทั้งหมดในช่วงฤดูฝน ด้วยเหตุนี้ ความสามารถในการยั้บยั้งการไหลของน้ำในแม่น้ำอย่างเต็มกำลังเป็นสาเหตุให้เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่บริเวณปลายน้ำ และจะดีมากยิ่งขึ้นกว่าหากการศึกษาครั้งนี้ได้รับการทบทวนและตรวจสอบก่อนที่จะมีการเผยแพร่สู่สาธารณะ ยิ่งไปกว่านั้น นักวิจัยจาก AMPERES ได้กล่าวว่าการนำเสนอรายงานของ Eyes on Earth ในการอภิปรายสาธารณะบ่อยครั้งมักจะเกินกว่าการค้นพบที่แท้จริง ในเดือนกรกฎาคม 2563 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิงหฺวา (Tsinghua University) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำในประเทศจีนได้กล่าวเพิ่มเติมในข้อถกเถียงนี้ด้วยการศึกษาที่ระบุว่าภูมิภาคนี้ประสบปัญหาภัยแล้งอยู่ก่อนแล้ว อีกครั้งหนึ่งที่ AMPERES ได้ตรวจสอบการวิจัยนี้ซึ่งค้นพบว่าจำเป็นที่จะต้องมีการชี้แจงเพิ่มเติมเยอะมากขึ้นและข้อสรุปของการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของเขื่อนผลิตไฟฟ้าแบบขั้นบันได (Dam Cascade) ในประเทศจีนเพื่อบรรเทาภาวะภัยแล้งที่พื้นที่ปลายน้ำอาจทำให้เกิดการไขว้เขวได้

โดยรวมแล้วการศึกษาที่มีอยู่โดยทั้งหมดเกี่ยวกับผลกระทบของเขื่อนขั้นบันไดในประเทศจีนที่มีต่อประเทศปลายน้ำในขณะนี้มักอาศัยมักอาศัยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้ ยิ่งไปกว่านั้นความแห้งแล้งในปี 2562 และ 2563 ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ภูมิศาสตร์การเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก ในเดือนกันยายนปี 2563 ความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ​ (Mekong-U.S. Partnership: MUSP) ได้เปิดตัวขึ้นซึ่งพยายามที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปลายน้ำและสหรัฐอเมริกาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นั่นจึงทำให้จีนควบคุมทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำตอนบนด้วยความระมัดระวัง กระนั้นการทำให้เป็นการเมืองของงานวิจัยซึ่งมีข้อจำกัดของการศึกษาถูกลดทอนลงและผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปให้เป็นเรื่องเล่าที่เรียบง่ายนั้นมีความเสี่ยงที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถบอกกล่าวได้ถึงกระบวนการกำกับดูแลน้ำข้ามพรมแดนตลอดจนกระบวนการตัดสินใจ

ในลุ่มน้ำหลานซาง-แม่โขง การกำกับดูแลน้ำข้ามพรมแดนมีความซับซ้อนเนื่องจากผลประโยชน์ที่หลากหลายของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งจากรัฐและไม่ใช่รัฐ​ สถาบันหลักที่สำคัญทั้งสองแห่งที่วางกรอบโครงสร้างเพื่อการกำกับดูแลน้ำข้ามแดนที่มีระหว่างรัฐต่อรัฐ (State-to-State) ได้แก่ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (The Mekong River Commission: MRC) และ กรอบความร่วมมือแม่โขง-หลานซาง (Mekong – Lancang Cooperation: MLC) เกี่ยวกับสาเหตุของกระแสน้ำไหลช้าและภัยแล้งในปี 2562 เดือนธันวาคม 2562  LMC และ MRC มุ่งมั่นที่จะทำการศึกษาวิจัยร่วมกันว่าสถานภาพของการศึกษานี้จะไม่ได้ถูกประกาศต่อสาธารณะ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เป็นองค์กรตามสนธิสัญญาที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2538 ระหว่างกัมพูชา ลาว ไทยและเวียดนาม กับ จีนและเมียนมา ในฐานะคู่เจรจา กรอบความร่วมมือแม่โขง-หลานซาง เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2559 และรวมทั้ง 6 ประเทศของกลุ่มลุ่มแม่น้ำหลานซาง-แม่โขง โดยจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะประธานร่วมและนักลงทุน และการจัดการทรัพยากรน้ำเป็น 1 ใน 5 ประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการ ในเวลาเดียวกัน MRC และ LMC ได้ร่วมมือและแข่งขันกันในการมีอำนาจหน้าที่ บทบาท และการมีอิทธิพลในลุ่มแม่น้ำโขง - หลานซาง

ในช่วงตลอด 2 – 3 ปีที่ผ่านมา การเรียกร้องอันยาวนานจากประเทศท้ายน้ำ ภาคประชาสังคมและชุมชนที่มีต่อจีนเพื่อการแบ่งปันข้อมูลน้ำทวีความรุนแรงมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา จีนได้มีการแบ่งปันข้อมูลเฉพาะข้อมูลฤดูฝน (มิถุนายน – ตุลาคม) และบางครั้งบางคราวจะมีการให้ข้อมูลฤดูแล้ในช่วงเวลา ‘ฉุกเฉิน’ ตามที่นักวิชาการ สจวร์ต บิบา (Stuart Biba) กล่าวว่ามันเป็นมาตราการเฉพาะกิจเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์​ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่ปล่อยออกมายังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจนถึงบทบาทของเขื่อนต้นน้ำที่มีบทบาทในการไหลของน้ำในแม่น้ำ ในบริบทของการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงในช่วงปี 2563 ที่กล่าวถึงเมื่อตอนต้น ในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 MRC ได้ประกาศว่าจีนได้ทำข้อตกลงที่จะแบ่งปันข้อมูลตลอดทั้งปี จำนวน 2 ครั้งต่อวัน สำหรับปริมาณน้ำฝนและระดับแม่น้ำจากสถานีวัดน้ำทั้ง 2 แห่งที่ตั้งอยู่ในเมืองม่านวาน (Manwan) และ จิงหง (Jinghong)

การเตรียมการใหม่สำหรับการแบ่งปันข้อมูลน้ำแบบรัฐต่อรัฐถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ รวมถึงการที่จีนได้เพิ่มความร่วมมือยิ่งขึ้นกับคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ในการแบ่งปันข้อมูลมากกว่าการยืนกรานที่แบ่งปันข้อมูลผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-หลานซาง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการแบ่งปันข้อมูลน้ำยังมีอีกมากที่ต้องทำเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์พื้นที่ต้นน้ำในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนสถานีตรวจวัดน้ำที่สามารถขยายให้ครอบคลุมเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำทั้งหมด 11 แห่ง ที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้ และเพื่อการรวบรวมข้อมูลระดับน้ำทั้งพื้นที่ต้นน้ำและปลายน้ำ การไหลออกของอ่างเก็บน้ำแต่ละเขื่อนตลอดจนกำหนดการดำเนินการ นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงข้อมูลน้ำในแม่น้ำสาขาซึ่งรวบรวมไว้อย่างครอบคลุม ในขณะที่การแบ่งปันชุดข้อมูลในอดีตสามารถช่วยสร้างเงื่อนไขก่อนหน้านี้ในลุ่มน้ำได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่ามีช่องว่างข้อมูลอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขในอ่างเก็บน้ำด้านล่าง ยกตัวอย่างเช่น จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลน้ำที่สมบูรณ์มากขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินงานของโครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำสาขาที่มีผลต่อสภาวะน้ำท่วมและภัยแล้งทั้งในพื้นที่และสะสมตลอดทั้งลุ่มน้ำ สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงแต่เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเพียงเท่านั้นแต่ยังรวมถึงแผนการชลประทานขนาดใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต้องมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับผลกระทบของมาตราการบรรเทาความเสียหายที่เขื่อนไชยะบุรีที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆนี้บนแม่น้ำสายหลักทางตอนเหนือของลาว เป็นสิ่งที่จำเป็น รวมทั้งการอพยพย้ายถิ่นของปลาและการเดินทางของตะกอน มีการริเริ่มโครงการภายใน MRC ตั้งแต่ปลายปี 2562 เพื่อศึกษาผลกระทบเหล่านี้ ในขณะที่องค์กรยังคงทำการรวบรวมข้อมูลอย่างมั่นใจแม้ว่าผลลัพธ์จะยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะก็ตาม การศึกษาเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในบริบทของ/และ ก่อนแผนการสำหรับโครงการกระแสหลักต่อไปซึ่งมี 4 โครงการที่กำลังได้รับการเสนออย่างจริงจัง การศึกษาเหล่านี้ยังสามารถช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำที่ผิดปกติในรูปแบบอื่นๆ ที่เพิ่งสังเกตุได้ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2562  และอีกหลายครั้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่น้ำโขงได้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลในพื้นที่ของลาวและไทย ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสีน้ำตาลปนโคลน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ระบุว่าการสีที่เปลี่ยนนี้เกิดขึ้นจากการลดลงของปริมาณตะกอนและการเติบโตของสาหร่ายเนื่องจากการไหลของน้ำในแม่น้ำไหลต่ำ เป็นไปได้อย่างแน่นอนว่าการไหลของแม่น้ำในระดับต่ำและการเปลี่ยนแปลงของตะกอนจะเชื่อมต่อกับเขื่อนที่เพิ่งสร้างขึ้นมา

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ปีนี้ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ได้ประกาศปรับปรุงเว็ปไซต์และ “ศูนย์รวมข้อมูล(Data Portal)” โดยมีเป้าหมายที่ระบุไว้คือ " (การ) ส่งเสริมความโปร่งใส เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขง" ตามข่าวประชาสัมพันธ์ของ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงศูนย์รวมข้อมูลมีสิ่งพิมพ์มากกว่า 1,000 รายการโดย MRC เองและมากกว่า 10,000 ชุดข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลอนุกรมเวลาทางอุตุนิยมวิทยาทั้งในปัจจุบันและในอดีต แผนที่เชิงพื้นที่ แผนที่ ภาพถ่ายและชุดข้อมูลภาค ความพร้อมใช้งานของข้อมูลนี้จะเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับนักวิจัย รวมทั้งคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงก็เช่นกัน ในกลยุทธ์การสนับสนุนศูนย์รวมข้อมูลเน้นความสำคัญของข้อมูลดิบและการวิเคราะห์ผ่านการสร้างแบบจำลองและการพยากรณ์

ถึงกระนั้น ยังมีขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการนั่นคือ การเชื่อมโยงความพร้อมใช้งานของข้อมูลน้ำที่ครอบคลุมมากขึ้นซึ่งสามารถเพิ่มความโปร่งใสในการปรับปรุงการกำกับดูแลน้ำข้ามแดนที่มีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อชุมชนที่อาศัยอยู่บนฝั่งแม่น้ำ ภาคประชาสังคมและสาธารณชนในวงกว้าง สิ่งนี้นำไปประยุกต์ใช้ในลุ่มน้ำตอนล่าง ยกตัวอย่างเช่น การปรึกษาหารืออย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเขื่อนหลักที่เสนอและเกี่ยวข้องกับการประกาศของจีนที่จะเพิ่มการแบ่งปันข้อมูลที่ยังไม่ได้เชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงความรับผิดชอบของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบขั้นบันไดในแม่น้ำหลานซางไปยังประเทศปลายน้ำและชุมชนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าประเภทของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นโดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นเพียงรูปแบบเดียวของความรู้ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน การตั้งอยู่บนความรู้ของชุมชน เช่น งานวิจัย “ไทบ้าน” ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำโดยชุมชนตลอดจนรูปแบบความรู้ทางการเมืองและการปฏิบัติทุกเรื่องเพื่อให้ความรู้สามารถ “นำไปปฏิบัติได้” การเติบโตล่าสุดของ “การร่วมผลิตความรู้” หรือ “การวิจัยแบบสหวิทยาการ” สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับถึงการตัดเชื่อมต่อระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก่อนหน้าและผลกระทบต่อการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น การเรียกร้องให้มีการยอมรับมากขึ้นถึงความชอบธรรม คุณค่า จุดแข็งและข้อจำกัดของการผลิตความรู้ที่กว้างขึ้นและเพื่อความรับผิดชอบร่วมกัน ในบริบทของการข้ามพรมแดนแม่น้ำหลานซาง-แม่โขง สิ่งสำคัญคือ ผู้ที่ผลิตองค์ความรู้ที่หลากหลายต้องเป็นเครือข่าย มีการติดต่อสื่อสารและการปรึกษาหารือข้ามพรมแดน

การตั้งอยู่บนหลักการของการแบ่งปันความรู้และการสร้างสรรค์ร่วมกัน มีความจำเป็นที่จะต้องมีระบอบการปกครองที่อิงกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นสถาบันสำหรับลุ่มน้ำหลานซาง – แม่โขง ทั้งหมดซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการสนทนาที่มีความหมาย ความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างรัฐกับชุมชนและภาคประชาสังคม อนุสัญญา Watercourses ของสหประชาชาติระบุหลักการและแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับสิ่งนี้ รวมถึงวิธีการจัดการความซับซ้อนของความรู้และความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับหลักการ “ห้ามทำให้เกิดอันตราย” และ “ข้อควรระวัง” โดยมุ่งเน้นไปที่การกำหนดแนวทางตามกฎเกณฑ์ในระดับประเทศและระดับข้ามแดนอันเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบและยังอยู่ในวิสัยทัศน์ที่เป็นทางเลือกสำหรับลุ่มแม่น้ำโขง-หลานซางที่จะสามารถสำรวจและพิจารณาอย่างจริงจังอีกด้วย

———

[1] ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญการเมืองเพื่อการพัฒนาสังคม ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Email: Carl.Chulalongkorn@gmail.com

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2020 สามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงค์ (link) นี้

CRITICAL NATURE: Beyond Water Data Sharing, Mekong-Lancang River Needs Accountable Water Governance

by Carl Middleton*

[Thai version available here]

The Mekong River seen from Vientiane, Laos (picture from Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia).

The Mekong River seen from Vientiane, Laos (picture from Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia).

In 2019, and again in 2020, the Mekong River – known as the Lancang River in China - has experienced low flows that has caused hardship for millions of people whose livelihoods depend on it.

An intense and often divisive regional debate has ensued about whether low flows are due to drought or the operation of large dams that have been progressively built across the basin since the early 1990s. Particular attention has been paid to the cascade of eleven hydropower dams on the mainstream in China, given the lack of transparency over the projects’ operation and reservoir water storage status.

In April 2020, the research consultancy Eyes on the Earth published a model of the natural (pre-dam) flow of the Lancang River to then predict the impact of the dams downstream in Northern Thailand. Given the absence of actual measurements in the public domain from gauging stations in China, the statistical model used satellite data to create a ‘wetness index’ to estimate the amount of water in the catchment, and then related this to monthly measurements of water levels at the gauging station in Chiang Saen in Northern Thailand. Overall, the study showed how since dams in the Lancang cascade began to be commissioned in the early 1990s there had been a decrease in wet season river levels and an increase in dry season levels, and more irregular and rapid fluctuations in water levels in both wet and dry seasons. These changes became especially pronounced since 2012 when the 5,850 MW Nouzhadu dam began reservoir filling, given that its reservoir is considerably larger than the preceding four projects combined.

While these conclusions have also been reached by previous scientific studies, the Eyes on Earth report gained significant media attention in regional and international outlets, as it was drawn upon by several civil society groups as well as representatives of the US Government to claim that it evidenced that China was responsible for the severity of the 2019-2020 drought and had “turned off the tap” or was “hoarding water”. These statements led in turn to rebuttals from China’s diplomats and researchers.

Such significant claims led to careful scrutiny of the Eyes on Earth report, including by the Mekong River Commission, AMPERES, and academics, that flagged some limitations including that: the report provides results in terms of water level, but this cannot be considered equivalent to water volumes; it didn’t demonstrate that China could store all of the water in the rainy season, hence being capable of fully withholding the river’s flow causing drought in the downstream; and it would have been better if the study had been peer reviewed before publication. Moreover, researchers at AMPERES concluded that the representation of the Eyes on Earth report in the public debate often went beyond its actual findings. In July 2020, researchers from Tsinghua University, a lead research institution in China, added to the debate with a study that argued the region had been experiencing drought. Again, AMPERES reviewing the study found that it too required further clarification and that the study’s conclusions on the benefits of the dam cascade in China to alleviate downstream drought conditions were potentially misleading.  

Overall, all existing studies on the impacts of China’s dam cascade on downstream countries are currently based on incomplete data due to a lack of access to already existing data. Moreover, the 2019 and 2020 droughts have occurred at a time of intensified geopolitics between the US and China in Southeast Asia and globally. In September 2020, the Mekong US Partnership was launched that has sought to deepen the relationship between downstream countries and the United States, and that has viewed China’s control of water resources in the upper basin with concern. Yet, the politicization of research – where the limitations of studies are downplayed and the results transformed into simplified narratives – risks undermining the credibility of scientific evidence that could inform processes of transboundary water governance and decision making.

In the Mekong-Lancang basin, transboundary water governance is complex given the diverse range of state and non-state actors’ interests. Two key intergovernmental institutions that structure state-to-state transboundary water governance are the Mekong River Commission (MRC) and the Lancang-Mekong Cooperation (LMC). The MRC is a treaty-based organization founded in 1995 between Cambodia, Laos, Thailand and Vietnam, with China and Myanmar as dialogue partners. The LMC was launched in March 2016 and includes all six states of the Mekong-Lancang basin, with a key role of China as co-chair and financier, and with water resources management as one of five priority areas. The MRC and LMC simultaneously cooperate and contest over their mandate, role and influence in the Mekong- Lancang River basin. Regarding the causes of the 2019 low flows and drought, in December 2019 the LMC and MRC committed to a joint study although the status of this study is not publicly announced.

Over the past couple of years, longstanding calls from downstream states, civil society and communities towards China for water data sharing have intensified. Since 1996, China had only shared rainy season data (from June to October), and occasionally dry season data at times ‘of emergency’ that according to the academic Stuart Biba was an ad hoc measure to deescalate criticism. Moreover, released data was not complete enough to conclusively determine the role that upstream dams had played in low river flows. In the context of the intense criticism during 2020 discussed above, on 22 October 2020 the MRC announced that China had agreed to share all-year around data twice per day for rainfall and river level from two monitoring stations at Manwan and Jinghong.

The new arrangement for state-to-state water data sharing is an important breakthrough, including given that China has deepened its cooperation with the MRC to share data rather than insist on sharing data via the LMC. However, in terms of water data sharing there is more to be done to understand the situation upstream in China. In particular, the number of monitoring stations could be expanded to cover all eleven hydropower dams now in operation and to include data on upstream and downstream water levels and flows for each dam’s reservoir as well as its operation schedule. It could also include tributary river water data, which is already extensively collected, while sharing historical data sets could help establish previous conditions in the basin.

Yet, it is important to recognize that there are numerous other data gaps that need to be addressed in the lower basin. For example, more complete water data on the operation of tributary projects is needed that influence flood and drought conditions both locally and cumulatively throughout the entire basin. This includes not only hydropower dams, but also a growing number of large irrigation schemes. The public release of data on the impact of mitigation measures at the recently completed Xayaburi Dam on the river’s mainstream in Northern Laos is also needed, including on migratory fish and sediment transportation. A project has been initiated within the MRC since late 2019 to study these impacts, while the company also certainly collects data, although results are not yet publicly available. These studies are urgently needed in the context of – and before - plans for further mainstream projects, four of which are currently being actively proposed. These studies could also help explain other unusual river changes recently observed given that first in November 2019, and several times since, the Mekong River has turned aqua-marine blue in areas of Laos and Thailand where usually it is a muddy brown. The MRC has stated that the color change is due to the drop in sediment load and subsequent algae growth due to low river flows. It is certainly possible that low river flows and sediment changes connect to the dams recently constructed.

On 13 November this year, the MRC announced its revamped website and ‘data portal’, with the stated goal of “promot[ing] transparency and increase[ing] access to Mekong related information and knowledge.” According to the MRC’s press release the data portal contains more than 1,000 publications by the MRC, and more than 10,000 datasets on current and historical hydrometeorological and climate time-series data, spatial maps, atlases, photographs, and sector datasets. The availability of this data will be a valuable resource for researchers. The MRC too in its underpinning strategy for the data portal emphasizes the importance of raw data and its analysis through modeling and forecasting.

Yet, there is a crucial final step to make, which is connecting more comprehensive water data availability that can increase transparency to improved transboundary water governance that is participatory and accountable to riparian communities, civil society and the wider public. This applies in the lower basin, for example within the ongoing consultations on proposed mainstream dams, and also in relation to China’s announcement to increase data sharing that is not yet explicitly connected to a commitment to improved accountability of the Lancang hydropower cascade to downstream countries and riverside communities.

It is important to recognize that the type of scientific knowledge generated by the MRC and scientific researchers is only one form of knowledge necessary for inclusive and sustainable development. Situated community-knowledge such as ‘Thai Bann’ research, civil society-led research, as well as political and practical forms of knowledge, all matter for knowledge to be “actionable”. The recent growth in “co-produced knowledge” or “transdisciplinary research” reflects acknowledges this recognition of the earlier disconnect between scientific knowledge and its impact on improved environmental governance.  It calls for greater recognition of the legitimacy, value, strengths and limitations of a broader range of knowledge production, and for its mutual accountability. In the context of the transboundary Mekong-Lancang River, it is also important that those producing diverse knowledge are networked, communicating and deliberating across borders.

Founded on knowledge sharing and co-creation, there is a need for a clear and institutionalized rules-based regime for the entire Lancang-Mekong basin that is based on meaningful dialogue, reciprocity and trust both between states and with communities and civil society. The UN Watercourses Convention outlines good principles and practices for this, including on how to manage knowledge complexity and related uncertainty drawing on the “do no harm” and “precautionary” principles. Focusing on establishing a rules-based approach at the national and transboundary scale is a vital mechanism through which accountability can occur, and also within which alternative visions for the Mekong-Lancang basin can be explored and seriously considered.

———

*Director, Center of Excellence in Resource Politics for Social Development, Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University. Email: Carl.Chulalongkorn@gmail.com

This article was originally published on the Heinrich-Böll-Stiftung Southeast Asia website on 27 November 2020 at this link.

JOURNAL ARTICLE: Reciprocity in practice: the hydropolitics of equitable and reasonable utilization in the Lancang-Mekong basin

0001.jpg

Publication date: 04 October 2020

Publication: International Environmental Agreements: Politics, Law and Economics

Authors: Carl Middleton & David J. Devlaeminck

Abstract:

Equitable and reasonable utilization (ERU), the cornerstone of international water law, recognizes the rights of states to utilize shared water resources. However, there is ambiguity in ERU’s application, and upstream states often perceive it as against their interests. Recent research highlights the important role reciprocity plays in international water law, yet how reciprocity is practiced in transboundary water governance remains poorly understood. Combining literature on international law, hydropolitics and international relations, this article conceptualizes ‘reciprocity in practice’ for international watercourses as interconnected legal, social and political processes by which state and non-state actors negotiate ERU and distribute benefits and harms. We pay particular attention to power relations and perceptions of fairness that influence the form and (dis)continuity of reciprocity. We demonstrate our approach through an analysis of evolving legal regimes and issues of navigation, hydropower, flood and drought management, and economic regionalization in the Lancang-Mekong basin, focusing on relations between China and downstream states. We demonstrate how multiple forms of reciprocity occur simultaneously across issues that are often analyzed individually, complicating common narratives of China’s unilateralism. We show, however, that practiced positive reciprocity is weak and exclusive, generating distrust and resistance from those excluded or who experience harms. Overall, we suggest that processes of ‘reciprocity in practice’ are at the heart of meaningful negotiation, institutionalization and practice of ERU, and that, as a model of water allocation, ERU should be contextualized to wider process of allocation of benefits and harms that include but go beyond water, and in which power relations fundamentally matter.

Keywords: UN Watercourses Convention, Mekong River Commission, Lancang-Mekong Cooperation, Lancang dam cascade, Equitable and reasonable use

Read the abstract in Chinese (Mandarin) here.

See the article here.

Citation: Middleton, C., and Devlaeminck, D.J. (2020) Reciprocity in practice: the hydropolitics of equitable and reasonable utilization in the Lancang-Mekong basin. Int Environ Agreements.  https://doi.org/10.1007/s10784-020-09511-6

JOURNAL ARTICLE: ASEAN in the South China Sea conflict, 2012–2018: A lesson in conflict transformation from normative power Europe

Publication date: 4 July 2020

Publication: International Economics and Economic Policy

Author: Kasira Cheeppensook

Abstract:

For decades, overlapping territorial claims to the South China Sea have had a destabilizing effect in East and Southeast Asia, with broader implications beyond the region. Four ASEAN countries (Brunei, Malaysia, the Philippines, and Vietnam) are direct claimants in the South China Sea conflict. ASEAN’s role, as a regional organization, in facilitating peaceful resolution of these claims and maintaining stability is challenging because the conflict presents potentially divisive rifts among ASEAN members themselves. This paper explores ASEAN’s role in managing the South China Sea conflict by examining the actions of two non-claimant states that functioned as country coordinators for ASEAN–China relations from 2012 to 2018: Thailand and Singapore. The efforts of these two countries as honest brokers shed light on how ASEAN can deal with this ongoing crisis so as to ensure the organization’s ongoing effectiveness and sustain regional harmony. The concept of normative power is employed to explain the potential role of non-claimant states in conflict transformation.

Keywords: ASEAN, South China Sea, Normative power Europe

See the article here.

REPORT: Contested Knowledges of the Commons in Southeast Asia Research Progress report - Vignettes from the Field (CRISEA Working Paper 2)

criseawp2.png

Publication date:
March 2020

Publication:
Contested Knowledges of the Commons in Southeast Asia Research Progress report - Vignettes from the Field

Edited and compiled:
Carl Middleton

Authors:
Monika Arnez, Sally Beckenham, David Chu, Robert A. Farnan, Tomasz Kamiński, Carl Middleton, Edyta Roszko, Thianchai Surimas, Amnuayvit Thitibordin, Andrea Valente, Michał Zaręba

Download the report here.

Historically until the present day, wide-ranging forms, scopes, intensities and durations of resource politics have shaped the concept and practice of development across Southeast Asia. In this report, we present eight vignettes that offer a sample of some of the varying characteristics of these resource politics and their implications for competition over resources and the commons, and social justice. The vignettes are the interim products of multidisciplinary research – and in one case transdisciplinary research - that is ongoing by team members of ‘Work Package 1 on the Environment’ of the EU-funded project Competing Regional Integrations in Southeast Asia (CRISEA).[1] 

In our first Working Paper, published in March 2019, we detailed our Work Package’s theoretical framework.[2] The core of the shared conceptual approach of our research is an examination of the co-production of ecological knowledge and ecological governance, viewed across the global, national and local scales. Here we draw upon the foundational work of Sheila Jasanoff (2004)[3], and as applied in Southeast Asia more recently by Gururani and Vandergeest (2014)[4] amongst others, to understand the remaking of nature-society relations in Southeast Asia. In short, as stated by Jasanoff (2004:2) “… co-production is shorthand for the proposition that the ways in which we know and represent the world (both nature and society) are inseparable from the ways in which we choose to live in it”. The co-production of natural and social orders are thus mediated by the production, circulation, integration and dissemination of knowledge, which itself must be contextualized to historical context, power relations, and culture.

The purpose of this Working Paper is to offer empirically grounded case studies of resource politics in practice in the region, as a work-in-progress. Overall, the research projects address three overarching themes: Transition into a low-carbon economy (Kamiński); Sea (Arnez; Roszko); and Rivers (Beckenham and Farnan; Chu; Middleton and Surimas; Thitibordin; Zaręba). We seek to analyze these cases through our project’s conceptual lens to generate both academic insight and policy-relevant recommendations, which will be the subject of forthcoming publications.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Arnez, M., Beckenham, S., Chu, D., Farnan, R.A., Kamiński, T., Middleton, C., Roszko, E., Surimas, T., Valente, A., and Zaręba, M. (2020) The Environment - Contested Knowledge of the Commons in Southeast Asia (CRISEA Working Paper 2). Research Progress report - Vignettes from the Field (CRISEA) Working Paper No. 2 (March 2020).

This report is part of our project The Contested Meanings of the Mekong River in Northern Thailand. You can visit the project page here.

——

[1] See http://crisea.eu/ for further details

[2] Kamiński, T., Arnez, M., Middleton, C., Beckenham, S., Farnan, R.A., Chu, D., Roszko, E., Thitibordin, A., Valente, A., and Zaręba, M. (2019) The Environment - Contested Knowledge of the Commons in Southeast Asia (CRISEA Working Paper 1). Competing Regional Integrations in Southeast Asia (CRISEA) Working Paper No. 1 (March 2019).

[3] Jasanoff, S. (2004). States of Knowledge: The Co-Production of Science and Social Order. London: Routledge

[4] Gururani, S. & P. Vandergeest (2014). ‘Introduction: New Frontiers of Ecological Knowledge: Co-producing Knowledge and Governance in Asia.’ Conservation and Society 12(4): 343-351.

JOURNAL ARTICLE: How transboundary processes connect commons in Japan and Thailand: A relational analysis of global commodity chains and East Asian economic integration

Publication date: February 2020

Publication: Asia Pacific Viewpoint

Authors: Carl Middleton, Takeshi Ito

Abstract:

In this paper, with a focus on Japan and Thailand, we outline a relational environmental and economic history of East Asian economic integration (EAEI) and its implication for the commons in both places. We draw attention in particular to global commodity chains as relational processes not only of trade and investment, but also geopolitics and aid, to argue that these transborder processes have connected together commons in distant localities resulting in their simultaneous enclosure, dispossession and (re-)commoning with implications for community vulnerabilities in positive and negative ways. To demonstrate this argument we analyse three periods of EAEI: the late nineteenth century until World War II, when Japan and Thailand both began to modernise and new trade and geopolitical relations emerged in the context of colonialism; the post-World War II recovery until the Plaza Accord in 1986, during which time Japan rapidly industrialised, as did Thailand to a lesser extent and regionalism was largely defined by US hegemony; and the post-Plaza Accord period, when Japan deindustrialised its labour intensive manufacture and heavy industry and Thailand rapidly industrialised and EAEI became defined by new and intensified global commodity chains.

Keywords: (re-)commoning, dispossession, enclosure, environment–society relations

See the article here.

POLICY BRIEF: Shaping the Future of Mekong Regional Architecture: Reinforcing Transboundary Water Governance Through Reciprocity

Transboundary-water-policy-brief_Final-25.6.19pg1-1.jpg

Publication date:
June 2019

Publication: 
Shaping the Future of Mekong Regional Architecture: Reinforcing Transboundary Water Governance Through Reciprocity

Download the policy brief here.

This policy brief is produced for track 1.5 Mekong Policy Dialogue on evolving sub-regional architecture and the role of Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy (ACMECS), co-organized by Department of Foreign Affairs and Trade - Australia (DFAT), The Asia Foundation (TAF), and Center for Social Development Studies (CSDS) . For more information more resources from the dialogue, please visit this link here.

Authors: 
Carl Middleton, David J. Devlaeminck, and Anisa Widyasari

Key Findings

  • There is deepening cooperation between the Mekong River Commission (MRC) and Lancang Mekong Cooperation (LMC). The joint activities to date can be understood as examples of specific reciprocity, namely specific exchanges of more-or-less equal value with clearly defined obligations, and have helped build trust.

  • To further collaboration, regional governments will need to gradually move from specific reciprocity to diffuse reciprocity. Here, cooperation is not between specific actors alone (i.e. the MRC and LMC), but reflects a broader cooperation between wider groups of actors and beyond river-based considerations.

  • To date, the MRC has directed more attention to the benefits to the river, including wild capture fisheries and other ecosystem services, whilst the LMC has emphasized more regional economic planning and projects. By working together, the river might be better protected, whilst simultaneously yielding sustainable generation of economic benefits.

  • Some potential directions for furthering collaboration include: a joint, systematic baseline assessment of the current ecological and socio-economic status of the Lancang-Mekong River and key drivers of change; a joint study on the existing legal rules, customary principles, and pledges maintained by each organization to identify points of commonality and difference; and a collaborative analysis to define reciprocity as a concept, and how it can be operationalized through relevant rules and regulations working towards a rulesbased approach.

  • The concept of reciprocity encompasses not just inter-state cooperation but also the interests and activities of non-state stakeholders, such as riverside communities. The MRC and LMC could consider co-organizing multi-stakeholder dialogues to generate a more complete picture of the Lancang-Mekong River and its diverse economic, social and cultural values.

BOOK CHAPTER: Knowledge coproduction for recovering wetlands, agro-ecological farming, and livelihoods in the Mekong Region

0001.jpg

Publication date:
August 2019

Publication:
Knowledge Co-production for Recovering Wetlands, Agro-ecological Farming and Livelihoods in the Mekong Region

Author:
Carl Middleton, Kanokwan Manorom, Nguyen Van Kien, Outhai Soukkhy and Albert Salamanca

Editors:
Chayanis Krittasudthacheewa, Hap Navy, Bui Duc Tinh, and Saykham Voladet

For further details on the book please visit the book's website here.

You can access the chapter here.

The Mekong Region contains extensive wetlands of high levels of biodiversity that have long provided a wide range of ecosystem services that are equally important to human well-being. In many cases, these wetlands have long been important for agro-ecological production, including rice and vegetable farming, livestock raising, fishing and aquaculture, and the collection of non-timber forest products (NTFPs), thus supporting local livelihoods and economies.

Unfortunately, many wetlands in the Mekong Region have been degraded or even lost, largely due to agricultural intensification, large-scale water infrastructure development, and land use changes associated with urbanization The extensive loss of wetlands is a threat to sustainable economic development through the loss of core ecosystem services that they provide. It also threatens the enjoyment of a range of human rights, including the rights to life, health, food, water and culture. When traditional wetlands agro-ecological practices are lost, so too are the local knowledge and culture associated with them.

Addressing complex problems such as the loss of wetlands requires gathering and activating a range of different types of knowledge, including scientific (expert), local, practical, and political. In this chapter, we present three case studies of knowledge coproduction research in Thailand, Vietnam and Laos aimed at the more inclusive ecological governance of wetlands degraded by largescale water infrastructure and the recovery of associated agro-ecological systems and livelihoods. We consider knowledge coproduction to be the dynamic interaction of multiple actors, each with their own types of knowledge, who coproduce new usable knowledge specific to their environmental, sociopolitical and cultural context and that can influence decision-making and actions on the ground. We argue that the knowledge coproduction approach enables research to move beyond weak forms of “participation” and towards social learning that builds trust, partnership and ownership among actors, and can generate innovative solutions for wetland and livelihood recovery.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Middleton, C., Manorom, K., Nguyen, V.K., Soukkhy, O. and Salamanca, A. (2019) “Knowledge Co-production for Recovering Wetlands, Agro-ecological Farming and Livelihoods in the Mekong Region” (pp 9-34) in Krittasudthacheewa, C., Navy, H., Tinh, B.C. and Voladet, S. (eds). Development and Climate Change in the Mekong Region. SIRD/Gerakbudaya, Malaysia

OPINION: Mekong Drought Reveals Need for Regional Rules-based Water Cooperation

by Carl Middleton

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

The severe drought currently faced by farmers and fishers in the Mekong basin is a disaster that reveals many things. It reveals the extent to which large dams now increasingly control river water levels. It reveals too the limits to cooperation between the countries sharing precious water in times of scarcity. And, it reveals the likelihood of an increasingly uncertain future under the conditions of climate change. What must be done in the short and long term?

It is – in theory – now almost the middle of the rainy season. Usually at this time the Mekong River is beginning to swell with the rain waters of the Southwest monsoon. Yet, this year water levels are as if it were a drought in the dry season. This has seriously affected farmers, with their planted rice and other crops withering in parched soil. It has also impacted fishers dependent on the river’s ecology.

In mid-July, the intergovernmental Mekong River Commission (MRC) stated that the river’s water levels are among the lowest on record for June and July. They explain that there has been a shortage of rainfall across the basin since January. The MRC also highlight that dam operation on the upper Mekong River in China, where it is known as the Lancang River, could have an impact. China sent a notification to the MRC indicating that between 5 to 19 July the water released from the lower of its eleven large dams, called Jinghong, would “fluctuate” due to “grid maintenance.”

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

This has had a two-fold impact. First, it withheld water at a time when downstream countries would have most benefited from more water being released. Second, sending unnatural pulses of water down the river harms river ecology and livelihoods dependent upon it, including riverbank gardens, river weed collection, and fishing, although this has in fact occurred since the late 1990s.

Alongside China’s dams, civil society groups have questioned the role of the Xayaburi dam in Northern Laos, which is scheduled to be commissioned in October this year. Since mid-July, the project had been testing its turbines, causing river fluctuations downstream. The company has denied that they have played a role in the drought, and ironically have even lamented that they were also affected by the withholding of water by China. However, Thailand’s Office of National Water Resources sent a letter to the Government of Laos requesting the testing be temporarily halted.

Less attention has been paid to the possible role of tributary hydropower dams, in particular in Laos that is progressively fulfilling its government’s vision to become the ‘battery of Southeast Asia.’ Over sixty medium and large-scale dams have been built to date. The question here is whether these tributary projects have also been withholding water to replenish their reservoirs to sell electricity. As with all of the hydropower dams in the Lancang-Mekong basin, little real-time data is in the public domain about reservoir water levels.

What are the lessons learned and what is to be done? Most immediately, support needs to be provided to rural communities both to distribute water to the extent that it is available and provide other means of support including, where necessary, financial support. Once the rains do arrive, as is anticipated any day now, hydropower project operators should resist the temptation to immediately begin replenishing their reservoirs for power generation. Rather, the priority should be with distributing water to farmers and recovering the river’s ecology for fishers and wildlife.

In the longer term, if it is true that there is little water in hydropower dam reservoirs, this also reveals the fallacy of depending too much on such infrastructure-led solutions towards managing drought. Rather, it indicates that other forms of preparedness will be necessary including better predictive capacity for droughts before they occur, and well-resourced plans once they do occur at the local, national and transboundary level. It should also include rethinking water storage to consider more groundwater and small-scale solutions, rather than focusing only on large dams.

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

Photo Credit: The Network of Thai People in Eight Mekong Provinces

Given that the Mekong River is shared between six countries, it is clear that even deeper inter-governmental cooperation is needed. Since the last severe drought in 2016, much has been said about the new regional cooperation under the Lancang-Mekong Cooperation (LMC) between China and downstream countries, including how it should cooperate with the MRC. In March 2016, shortly before the region’s leaders committed to the LMC, China released water from the Lancang dams as a show of goodwill in an effort to alleviate the severe drought at that time, although unfortunately the water releases caught some downstream communities unaware.

Building on the collaboration between the MRC and LMC, rather than depend upon informal arrangements for sharing water between China and downstream countries, it would be better to move towards a clearer rules-based approach. The scope of cooperation, some of which has already started, should include: more comprehensive data sharing between governments and with the public; collaborative research; clear rules and procedures on emergency water release; hydropower cascade operation that mimics, to the extent possible, the natural river flow; and improved procedures for genuine public participation, especially for riverside communities.

In the face of worsening climate change, and recognizing that it is often the most vulnerable who face the greatest risk during times of drought, these short and long-term solutions are needed now more than ever.

For the article published in Thai, please visit this link.

Carl Middleton is Director of the Center of Excellence in Resource Politics for Social Development at the Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University. He can be contacted at Carl.Chulalongkorn@gmail.com.

JOURNAL ARTICLE: Hybrid Governance of Transboundary Commons: Insights from Southeast Asia

raag21.v109.i04.cover.jpg

Publication date:
July 2019

Publication: Annals of the American Association of Geographers

Authors:
Michelle Ann Miller, Carl Middleton, Jonathan Rigg & David Taylor

Abstract:

This article examines how hybrid environmental governance produces, maintains, and reconfigures common property across transboundary geographies of resource access, use, and ownership. Transboundary commons are a category of environmental goods that traverse jurisdictions and property regimes within as well as between nation-states. They are forged through collaborative partnerships between spatially dispersed state, private-sector, and societal institutions and actors. This article disaggregates these transboundary commoning arrangements into two geographically discrete yet conceptually intertwined categories of governance: mobile commons and in situ commons. We ground our enquiry in Southeast Asia, a resource-rich region where diverse formal and informal practices of resource organization blur the boundaries of environmental governance. Whereas environmental commons are often analyzed in terms of resource rights and entitlements, this article argues that a focus on power relations offers a more productive analytical lens through which to understand the dynamic and networked ways in which transboundary common property is continually being (re)made through processes of hybrid governance in response to changing ecological systems and shifting social realities.

Key Words: ASEAN, common property, cross-border governance, environmental commons, hybrid governance.

Read the article here.

REPORT: The Environment - Contested Knowledge of the Commons in Southeast Asia (CRISEA Working Paper 1)

CRISEA_WP1_The_Environment_20Mar-01.jpg

Publication date:
March 2019

Publication:
The Environment - Contested Knowledge of the Commons in Southeast Asia (CRISEA Working Paper 1)

Authors:
Tomasz Kamiński, Monika Arnez, Carl Middleton, Sally Beckenham, Robert A. Farnan, David Chu, Edyta Roszko, Amnuayvit Thitibordin, Andrea Valente, Michał Zaręba

Download the report here.

Environmental questions are at the heart of many development dilemmas in Southeast Asia. New actors and technologies, changing domestic politics, policies, and economies - as well as shifting geopolitical contexts, are remaking nature-society relations in the region. A failure to address transnational environmental challenges could not only undermine ASEAN’s legitimacy but also have drastic consequences for the region’s security and its political and economic stability.

In addressing these questions in this Working Paper, we are particularly concerned with contested knowledges of “the commons” and competition over resources. We consider the environment as a driver of processes of regional integration, but also of conflicts between various actors in the region. Our research focuses on three environmental contexts namely: sea; rivers; and air. In addressing all three our emphasis is on the transition to a low-carbon economy. Grounded in a multidisciplinary approach, our research shares a common conceptual framework, centred on the co-production of ecological knowledge and ecological governance.

Drawing on the work of Sheila Jasanoff (2004), Shubhra Gururani and Peter Vandergeest (2014), amongst others, we consider the production, circulation, acquisition and assimilation of ecological knowledge at, and across the local, national and global levels and its relationship to ecological governance. Based on macro and micro case studies, we relate this dynamic process of co-production to other concepts, including reterritorialization; feminist political ecology, hydropolitics, and paradiplomacy (international relations conducted by subnational governments on their own). The aim of this paper is to present the theoretical framework of our work as well as the three main strands of our research. In the first section, we explain our understanding of the concept of ecological knowledge. This is followed by a presentation of our methodological approaches, while the last section presents the individual research projects in the WP, arranged in three modules.

Please contact Dr. Carl Middleton for more information.

Citation: Kamiński, T., Arnez, M., Middleton, C., Beckenham, S., Farnan, R.A., Chu, D., Roszko, E., Thitibordin, A., Valente, A., and Zaręba, M. (2019) The Environment - Contested Knowledge of the Commons in Southeast Asia (CRISEA Working Paper 1). Competing Regional Integrations in Southeast Asia (CRISEA) Working Paper No. 1 (March 2019).

This report is part of our project The Contested Meanings of the Mekong River in Northern Thailand. You can visit the project page here.

OPINION: What does Chinese ‘reciprocity’ mean for Mekong’s dams?

by Carl Middleton

The Lancang Mekong supports 70 million people living in the basin(Photo: He Daming)

The Lancang Mekong supports 70 million people living in the basin(Photo: He Daming)

It is now two and a half years since the first Lancang Mekong Cooperation (LMC) leaders’ summit was held in Sanya city on Hainan Island, China. The aim of the LMC – a China led multilateral body involving all six Mekong countries – is to deepen economic, cultural and political ties between China and mainland Southeast Asia. Leaders have repeatedly declared the importance of the Lancang-Mekong River to this cooperation. Reflecting this, on 1-2 November, the LMC will host the “1st Lancang-Mekong Water Resources Cooperation Forum” in Kunming, China.

The LMC’s second leaders’ summit in Phnom Penh, Cambodia in January 2018 revealed the swift pace of the initiative. This is reflected in the numerous senior-level meetings between governments, the initiation of almost 200 China-funded projects, and the LMC’s deepening institutionalisation through various LMC secretariats and working groups. Yet, while China has hosted people-to-people exchange programs and university scholarships, the LMC’s state-centric approach has afforded little opportunity for public deliberation about its overall policy principles and direction.

Through the LMC, some government officials and scholars from China have proposed that downstream and upstream countries have both rights and responsibilities towards each other. This concept of ‘reciprocity’ is not yet official LMC policy, but suggests a shift in government position compared to China’s earlier unilateral construction of dams on the Lancang River. Overall, the LMC and its proposition of ‘reciprocity’ appears to be an invitation to negotiate basin-wide water cooperation on the Lancang-Mekong River.

Much, however, remains uncertain. For example, how will the LMC build upon the existing inter-governmental Mekong River Commission, established in 1995 by the four lower basin countries? How will the LMC address concerns of riverside communities and civil society and ensure their meaningful inclusion? And how will countries ensure the river’s ecological health given the strong push for economic growth and associated water infrastructure projects? This article asks whether the LMC and the concept of ‘reciprocity’ is a promising approach to meet these challenges.

For the full article, please click here.

POLICY BRIEF: Reciprocal Transboundary Cooperation on the Lancang-Mekong River: Towards an Inclusive and Ecological Relationship

Publication date:
November 2018

Publication: 
Reciprocal Transboundary Cooperation on the Lancang-Mekong River: Towards an Inclusive and Ecological Relationship

Download the policy brief here.

Visit the Water governance and knowledge production on the Lancang-Mekong River project page here.

Author: 
Carl Middleton
 

Summary
It is now two and a half years since the first Lancang Mekong Cooperation (LMC) leaders’ summit was held in Sanya city in Yunnan Province, China. During this period, the LMC has become increasingly institutionalized. The overarching ambition of the LMC is to deepen economic, cultural and political ties between China and mainland Southeast Asia. This policy brief assesses emerging principles for transboundary water cooperation under the LMC, in particular the concept of reciprocity that expands upon the UN Water Courses Convention. It also assesses the role of the LMC vis-a-vis the Mekong River Commission in transboundary water governance. The analysis concludes that as the LMC becomes a more consolidated institution, a genuine and equal partnership for the Lancang-Mekong River cooperation is needed that could build upon principles of “inclusive reciprocity” between state and non-state actors, and “ecological reciprocity” that recognizes the need for an ecologically healthy Lancang-Mekong River.

Mekong River at Chiang Khong, Northern Thailand (Credit: Carl Middleton)

Mekong River at Chiang Khong, Northern Thailand (Credit: Carl Middleton)

CONFERENCE PAPER: “Sustainable Hydropower” Discourse in the Politics of Climate Change in Southeast Asia

“Sustainable Hydropower” Discourse in the Politics of Climate Change in Southeast Asia

By Carl Middleton[1] and Mira Käkönen[2]

Presented at the European Association for Southeast Asian Studies (EURO-SEA) conference,
University of Oxford, 16-18 August, 2017

In the 1990s, the global hydropower industry faced a growing crisis of legitimacy as its contribution towards development was questioned. Southeast Asia was central to this debate. The World Bank’s exit from large hydropower globally was marked by Thailand’s Pak Mun Dam in 1994, and its return by the Nam Theun 2 in Laos in 2006 accompanied by claims of a new best-practice approach. Meanwhile, the International Hydropower Association developed sustainability guidelines in 2004 and subsequently a Hydropower Sustainability Assessment Protocol launched in 2011. From these and other efforts by large dam proponents emerged the discourse of “sustainable hydropower,” which sought to re-legitimize the industry by reinventing hydropower dams as sustainable development projects, rather than electricity infrastructure alone.
 
With large hydropower dams high on government and business actors’ agendas in Southeast Asia, this paper shows how the region has been a material testing ground of “sustainable hydropower” and central to the production of its discourse. Taking the case of Nam Theun 2 in particular, and the performative role it has played in producing ‘the sustainability’ that is required to make the sustainable hydropower discourse credible, as well as more recent projects and plans in Laos and Myanmar, we assess that the industry has mildly reformed rather than fundamentally transformed. This takes particular salience given that the proponents of “sustainable hydropower” are seeking to take leadership in defining hydropower’s future role within global-level debates on climate mitigation, including seeking to define criteria for eligibility to access Green Climate Funds. Throwing doubt on claims that processes of ecological modernization and “green economy” are actually occurring as claimed by some, we argue that hydropower as a global industry are part of the forces that may inhibit work towards a social-ecological transformation of society.

Download full paper click here.
Download Power Point of this paper click here.

Cite this article as: Middleton, C. and Käkönen, M. (2017) "“Sustainable Hydropower” Discourse in the Politics of Climate Change in Southeast Asia" Paper presented at the European Association for Southeast Asian Studies (EURO-SEA) conference, University of Oxford, 16-18 August, 2017

[1] Center for Social Development Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University, Thailand. (Carl.Chulalongkorn@gmail.com)
[2] Department of Political and Economic Studies, University of Helsinki, Finland. (mira.kakonen@helsinki.fi)

JOURNAL ARTICLE: Regional Clustering of Chemicals and Waste Multilateral Environmental Agreements to Improve Enforcement

journal article.jpg

Publication date: August 2017

Publication: International Environmental Agreements: Politics, Law and Economics

Author: Ning Liu, Carl Middleton

For further details of the article, visit Springer.

 

Abstract:

Illegal trade in chemicals and waste has brought severe negative impacts to human health and the environment. Fragmentation of multilateral environmental agreements (MEAs) has challenged implementation due to disconnects and inconsistencies between regimes that causes inefficiencies, overlapping norms, and duplication. Since the late 1990s, there have been proposals to cluster MEAs organizationally and functionally to create synergies between them. This paper evaluates whether the proposition on clustering of MEAs has worked in practice through an empirical case study of the “MEA Regional Enforcement Network (REN)”. MEA REN sought to cluster at the organizational and functional elements of the Basel Convention, the Rotterdam Convention, the Stockholm Convention, and the Montreal Protocol in South and Southeast Asia. Regarding organizational clustering, through co-organizing regional network meetings cross-MEA learning was enhanced and costs were saved, but co-locating regional offices proved more challenging. For the clustering of functional elements, MEA enforcement was ultimately strengthened through several joint initiatives across MEAs. However, not all functions could be clustered as anticipated, including data reporting due to incompatibility between the conventions and overall workloads. The paper concludes with recommendations for future environmental enforcement.

CONFERENCE PROCEEDINGS: Mekong, Salween and Red Rivers: Sharing Knowledge and Perspectives Across Borders

CONFERENCE PROCEEDINGS: Mekong, Salween and Red Rivers: Sharing Knowledge and Perspectives Across Borders

Water resources are inextricably linked to local livelihoods and wellbeing, agricultural production and food security, and local, national and the regional economies across the Mekong region. The Mekong, Red and Salween Rivers are all transboundary rivers that are subject to the dynamics of rapid change as the region increasingly integrates economically and socially. Whether development is inclusive, informed and accountable, and the rights and entitlements of marginalized communities recognized, remains a key challenge.

Read More

BOOK CHAPTER: Water and Rivers" in the Handbook of the Environment in Southeast Asia

BOOK CHAPTER: Water and Rivers" in the Handbook of the Environment in Southeast Asia

By Carl Middleton

This chapter examines the transition from state-led hydrocracies to increasingly liberalized modes of water resources development in mainland Southeast Asia, with a focus on large hydropower dams on transboundary rivers. Access to, use of and control over water is highly politicized, and an increasingly diverse assemblage of public, private and civil society actors are involved in water governance.

Read More

BOOK CHAPTER: Arenas of Water Justice on Transboundary Rivers: A Case Study of the Xayaburi Dam, Laos

BOOK CHAPTER: Arenas of Water Justice on Transboundary Rivers: A Case Study of the Xayaburi Dam, Laos

By Carl Middleton and Ashley Pritchard

In Southeast Asia, major transboundary rivers such as the Mekong River are central to the food security, livelihoods and culture of millions of people. An increasingly extensive program of large hydropower dam construction is underway in Laos, Cambodia and Myanmar to meet domestic electricity demand and for power export to neighboring Thailand, Vietnam and China. 

Read More